กรุงเทพ ฯ 2 พ.ย. – บลจ.ทาลิสคาดนายโจ ไบเดน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และจะเป็นผลดีสำหรับประเทศไทย แต่อาจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับน้ำมันและกลุ่ม Tech
นายวีระพล สิมะโรจน์ ผู้จัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด (บลจ.ทาลิส ) กล่าวว่า นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญคงเป็นเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นวันที่ 3 พฤศจิกายน (ตามเวลาสหรัฐ) ณ ปัจจุบัน จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันถึง 10 จุด สำหรับการสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศ และยังมีคะแนนนำในรัฐที่พรรคการเมืองมีคะแนนเสียงสูสีกันถึง 10 จาก 14 รัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่นายไบเดนจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ หากนายไบเดนชนะการเลือกตั้ง นโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ทั้งวิธีการดำเนินนโยบายและการเปลี่ยนนโยบายจากเดิมที่ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้อยู่
ด้านรูปแบบการดำเนินนโยบาย นายไบเดนมีแนวโน้มจะใช้วิธีการดำเนินนโยบายที่เป็นทางการมากขึ้น ซึ่งต่างจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่มักจะใช้วิธีตามอำเภอใจ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดเวลา ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นในแง่ที่นักลงทุนจะสามารถคาดการณ์ทิศทางการดำเนินนโยบายง่ายขึ้น ดังนั้น ความผันผวนของตลาดจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจน่าจะลดลง
ด้านนโยบายเศรษฐกิจนั้น นายไบเดนมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ มากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ที่เน้นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก นโยบายหลักของนายไบเดนที่แตกต่างจากประธานาธิบดีทรัมป์ที่สำคัญ เช่น การปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% กลับไปที่ 28% การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง การคิดภาษี Capital Gain Tax สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น การกลับไปร่วมสนธิสัญญากรุงปารีส (เกี่ยวกับการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ) การสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก และการออกกฎหมายควบคุมการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Tech มากขึ้น ซึ่งนโยบายเหล่านี้อาจจะบั่นทอนความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐได้ อย่างไรก็ตาม นายไบเดนก็มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเกี่ยวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งจะเป็นนโยบายที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจให้สามารถเติบโตต่อไปได้ นอกจากนี้ นายไบเดนยังน่าจะดำเนินนโยบายต่อต้านการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน แต่จะเปลี่ยนวิธีดำเนินการจากสงครามการค้าเป็นการพยายามสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการปิดล้อมจีน ผ่านการทำสนธิสัญญา/หุ้นส่วนทางการค้า เช่น ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership – TPP) ดังนั้น หากนายไบเดนชนะการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากการลงทุนในสหรัฐไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ มากขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับน้ำมันและกลุ่ม Tech
แต่หากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นโยบายทางเศรษฐกิจและวิธีการดำเนินนโยบายไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนจะยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในสหรัฐเป็นหลัก ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสจะผันผวนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นไม่ว่าใครชนะการเลือกตั้ง เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกโดยภาพรวม เนื่องจากความเสี่ยงเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งหมดไป และประธานาธิบดีคนใหม่คงจะเร่งการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการระบาดของโควิด-19 ก่อนเป็นลำดับแรก
สำหรับประเทศไทย หากนายไบเดนชนะการเลือกตั้ง ในระยะสั้นเศรษฐกิจน่าจะได้รับผลดีจากภาคการส่งออกที่น่าจะขยายตัวดีขึ้น เนื่องจากการค้าโลกขยายตัวเมื่อหมดความกังวลเรื่องสงครามการค้า แต่หากสหรัฐกลับเข้าร่วมผลักดัน TPP และไทยไม่ได้เข้าร่วม ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการลงทุนในระยะยาวได้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับผลดีหากเม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐไปลงทุนในภูมิภาคอื่น ๆ แต่หากประธานาธิบดีทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ภาคการส่งออกน่าจะเติบโตได้น้อย จากการที่การค้าโลกชะลอตัวเหมือนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดหุ้นก็มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการที่เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกยังคงมุ่งสู่สหรัฐ.-สำนักข่าวไทย