กรุงเทพฯ 29 ต.ค. – ราคาแอลเอ็นจีตลาดโลกขยับสูงขึ้น ทำให้ ปตท.สผ.ขายก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ย้ำวางแผนเตรียมความพร้อมเข้าพื้นที่เอราวัณ เพื่อให้สามารถผลิตก๊าซฯ ได้ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/63 ดีกว่าไตรมาสที่แล้ว โดยเป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองจากโควิด-19 และประเทศในองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออกและประเทศพันธมิตร (โอเปก พลัส) ยังคงยืนนโยบายลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของราคาก๊าซธรรมชาติเหลวตลาดจร ( Spot LNG ) ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ราคาขายปลายเดือนกันยายนสูงขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู ส่งผลให้การนำเข้าแอลเอ็นจีของประเทศต่อจากนี้ไปมีแนวโน้มที่จะลดลง และมีการเรียกรับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นะส่งผลดีกับปริมาณการขายของบริษัทในช่วงไตรมาสหลังของปี
อย่างไรก็ตาม ปตท.สผ.จะยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมเดินหน้าแผนงานทั้งเชิงรุกและเชิงรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยของปี 2563 ปตท.สผ. ประเมินว่าจะอยู่ที่อัตรา 350,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงเล็กน้อยจากที่มีการประเมินไว้ตอนกลางปี
ทั้งนี้ ไตรมาส 3 ของปี 2563 ปตท.สผ.มีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 1,305 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 40,887 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 มีปัจจัยหลักจากปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 344,317 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากผู้ซื้อเรียกรับก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในโครงการบงกชและโครงการคอนแทร็ค 4 สำหรับราคาขายผลิตภัณฑ์ของเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นกว่าร้อยละ 11 มาอยู่ที่ 38.77 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับ 34.97 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ ปตท.สผ.มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ที่ 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 7,202 ล้านบาท) สูงขึ้นร้อยละ 72 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีกำไรสุทธิ 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 4,323 ล้านบาท) โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 71 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2563 นั้น ปตท.สผ.มีรายได้รวม 4,082 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(เทียบเท่า 128,369 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 11 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 639 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 20,137 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 46
นายพงศธร กล่าวต่อว่าในไตรมาส 3 ปตท.สผ.เริ่มเจาะหลุมประเมินผล เพื่อประเมินศักยภาพปิโตรเลียม ในแปลงซาราวัก เอสเค 410 บี ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่ได้ทำการเจาะหลุมสำรวจในปีที่ผ่านมาและค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของ ปตท.สผ. และเป็นแหล่งที่ใหญ่อันดับ 7 ของโลกในปี 2562 ซึ่งผลการเจาะน่าจะทราบภายในปีนี้ และจะผลักดันให้สามารถตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ให้ได้ในปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทได้ตกลงเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ เพิ่มอีกร้อยละ 24.5 จาก CNOOC หนึ่งในผู้ร่วมลงทุนโครงการ ด้วยมูลค่าเท่ากับเงินลงทุนตามสัดส่วนของ CNOOC ที่ใช้ในระหว่างการพัฒนาโครงการจนถึงวันที่ได้รับการอนุมัติ ซึ่งขณะนี้กำลังรอการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลแอลจีเรีย โดยหลังจากการเข้าซื้อดังกล่าว บริษัทจะมีสัดส่วนการลงทุนในโครงการฯ ทั้งหมดร้อยละ 49 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตในระยะแรกได้ที่ระดับ 10,000-13,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงหลังของปี 2564 และจะเพิ่มการผลิตเป็น 50,000-60,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2568
ส่วนความคืบหน้าของการเปลี่ยนผ่านสิทธิการดำเนินการของโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ จี 2/61 (แหล่งบงกช) นั้น ขณะนี้บริษัทได้เริ่มวางแผนการเจาะหลุมสำรวจ การสร้างแท่นหลุมผลิตและท่อส่งก๊าซฯ รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านอื่น ๆ เพื่อให้สามารถผลิตก๊าซฯ ได้ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต โดยในส่วนของโครงการจี 1/61 นั้น ปตท.สผ. อยู่ในระหว่างการเจรจาขอเข้าพื้นที่เพื่อติดตั้งแท่นผลิตและท่อใต้ทะเลตามแผนที่วางไว้. -สำนักข่าวไทย