กระทรวงคลัง 22 ต.ค. – คลังสั่งแบงก์รัฐ ขยายเวลา เร่งฟื้นฟูช่วยเหลือลูกหนี้ หลังสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ป้องกันหนี้เสียไหลกลายเป็น NPL
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ แถลงแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประกอบ SMEs ว่า หลังจาก พ.ร.ก. ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด – 19 (พ.ร.ก. Soft Loan) เมื่อเศรษฐกิจยังมีปัญหา ธปท. จึงผ่อนให้สถาบันการเงินพิจารณาเข้าช่วยเหลือเป็นรายกรณี หลังจาก ลูกหนี้เข้าโครงการพักหนี้ทั้งระบบจำนวน 12.2 ล้านราย วงเงิน 6.9 ล้านล้านบาท เป็นลูกหนี้ของแบงก์รัฐ 6.57 ล้านราย วงเงินสินเชื่อคงค้าง 2.89 ล้านบาท
กระทรวงคลัง จึงมอบหมายให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่งหลัก ธ.ออมสิน ธอส. ธ.ก.ส. เอสเอ็มอี อีแบงก์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs และลูกหนี้รายย่อย ตามแนวทางของ ธปท. ดังนี้
1.ขยายระยะเวลาการชะลอการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ มีปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และสานต่อธุรกิจต่อไป เมื่อไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย
2. ผู้ประกอบการ SMEs เริ่มกลับมาดำเนินธุรกิจได้ แต่ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว ต้องเร่งปรับโครงสร้างหนี้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยชำระหนี้เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูกหนี้และลดภาระของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวในระยะยาว
3. ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความพร้อมและสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ ให้แบงก์รัฐรับชำระหนี้ตามปกติ เพื่อลดภาระของลูกหนี้ เพราะต้องรับภาระดอกเบี้ยในช่วงพักชำระหนี้
สำหรับแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ มาตรการอื่นของแบงก์รัฐ ที่อยู่ระหว่างการพักชำระหนี้ ได้มีการขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ เงินต้นและดอกเบี้ย ไม่ควรเกิน 6 เดือนนับจากสิ้นปี 2563 เพื่อบรรเทาภาระในการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจติดตามเพื่อดูแลลูกหนี้แต่ละรายอย่างใกล้ชิดและคำนึงถึงผลประโยชน์ของลูกหนี้ในระยะยาวด้วย การติดต่อเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เติมความรู้และทักษะในการดำเนินธุรกิจ การเพิ่มแรงจูงใจแก่ลูกหนี้ที่มีศักยภาพกลับมาชำระหนี้ตามปกติเพื่อลดภาระหนี้ของลูกหนี้ตลอดระยะเวลาสัญญา และป้องกันปัญหาวินัยทางการเงิน (Moral Hazard) เช่น การลดดอกเบี้ย การคืนเงินบางส่วนเพื่อเป็นรางวัลให้ลูกหนี้ที่กลับมาชำระหนี้เป็นปกติ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ได้พักหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อย 3 ล้านบัญชี เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี 40,000 ราย มูลหนี้ 70,000 ล้านบาท สำหรับหนี้รายย่อยวงเงิน 1 ล้านล้านบาท จึงเตรียมแก้ปัญหาการพักหนี้ และเติมสภาพคล่องผ่านหลายมาตรการ ผ่านการผ่อนปรนเงื่อนไขถึงสิ้นเดือนธันวาคม 63 ยอมรับว่า ลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงสัดส่วนร้อยละ 10 ของมูลหนี้ทั้งหมด โดยเตรียมทั้งวงเงินกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาทต่อราย ยื่นขอกู้มาแล้ว 1.5 ล้านราย รวมทั้งสินเชื่อเสริมพลังฐานราก ปล่อยกู้ 50,000 บาทต่อราย และสินเชื่อสำหรับกลุ่มท่องเที่ยว เพื่อเติมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ธอส.ได้ลดดอกเบี้ย และเงินต้น แบบลดต้นลดดอก ตั้งแต่ พ.ย.63 ขยายเป็น พ.ย.64 เป็นกลุ่มลูกหนี้รายย่อยต้องดูแล 6.8 หมื่นราย สินเชื่อคงค้าง 5.7 แสนล้านบาท สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการสร้างบ้านเอสเอ็มอี มีประมาณ 3 พันราย สินเชื่อ 6,800 ล้านบาท ได้หารือการคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1.99-3.99 เป็นรายกรณี ยอมรับว่าเป็นกลุ่มสีแดง ที่ต้องจับตาดูแลเป็นพิเศษร้อยละ 4.9 ถือว่าไม่น่าหนักใจ
นายสุรชัย รัศมี รองผู้จัดการรักษาการแทนผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) กล่าวว่า ได้ขยายเวลาการพักหนี้ออกไปอีก 1 ปี แต่หลังจากหนี้จะส่งเจ้าหน้าที่ 2 หมื่นคน ลงสำรวจสถานะการเป็นหนี้ เพื่อดูว่าแต่ละรายมีศักยภาพอย่างไร เพื่อนำเข้ามาสู่โครงการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นลูกหนี้กลุ่มสีแดง เหลืองเขียว อย่างไร แต่ต้องการให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้เหมือนเดิม โดยต้องการให้พักหนี้เป็นเวลานานเกินไป เพราะจะเป็นการแบกรับภาระไว้เหมือนเดิม
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ เอสเอ็มอี ดี แบงก์ กล่าวว่า การขยายเวลาพักหนี้แบบปลอดเงินต้น 6 เดือน ต่อเนื่องถึง มี.ค.64 จะพิจารณาเป็นรายไป ตามศักยภาพของลูกหนี้ ยอมรับว่าสัดส่วนลูกหนี้ของเอสเอ็มอีที่มีปัญหา ไม่น่าเป็นกังวล.-สำนักข่าวไทย