กระทรวงคลัง 14 ต.ค. – รัฐมนตรีคลังประชุมผู้บริหาร เตรียมเปิดประเทศรองรับการลงทุน และท่องเที่ยว ดูแลแรงงาน เร่งเดินเครื่องฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อผ่าน ใช้จ่ายคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เติมเงินบัตรสวัสดิการ สั่ง สศค. มอบของขวัญปีใหม่ท้ายปี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 และสิ่งศักดิ์ประจำกระทรวงการคลัง จากนั้นเรียกประชุมผู้บริหาร ผลักดันมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายการคลังเร่งด่วน ในช่วง 3 เดือนสุดท้าย หลังจากเปิดให้ร้านค้า ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง 2.3 แสนราย จึงเตรียมเปิดประชาชนทั่วไปลงทะเบียนร่วมโครงการ คนละครึ่ง วงเงิน 3 พันบาท ในวันที่ 16 ตุลาคมนี้ เพื่อเริ่มใช้จ่าย 23 ต.ค. 63 นี้ การส่งเสริมนำค่าใช้จ่าย มาหักลดหย่อนภาษีผ่าน ผ่านโครงการ “ช้อปดีมีคืน” การเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการฯ ยืนยันว่า เป็นการช่วยเหลือทั้งร้านค้าและประชนชนให้มีกำลังซื้อช่วงปลายปี ผ่าน 3 โครงการ
สำหรับการดูแลปัญหาแรงงาน ในส่วนของกระทรวงการคลัง ต้องศึกษาหามาตรการเพิ่มเติมมาช่วยเติมสภาพคล่อง เพื่อให้มีค่าจ้างแรงงานต่อไป ด้วยการสนับสนุนเพิ่มเติมบางส่วน หรือการช่วยฝึกอบรม พัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อดูแลทั้งผู้ประกอบการรายย่อย เอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับมาตรการพักหนี้ของสถาบันการเงิน ตามนโยบาย ธปท. ซึ่งจะครบกำหนด 22 ตุลาคมนี้ ต้องรอฟังข้อสรุปของ ธปท. เพราะหากภาคเอกชนไม่มีเงินชำระหนี้จะมีปัญหาอย่างแน่นอน เบื้องต้นมีแนวทางดูแล หลังได้พักหนี้ไปแล้ว ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ และการปรับโครงสร้างธุรกิจ
ขณะที่องค์กรขนาดใหญ่เวทีโลก ทั้งธนาคารโลก และกองทุนไอเอ็มเอฟ ได้กำหนดเวลาพักหนี้ตั้งแต่ พ.ค.63 – มิ.ย.64 สำหรับเติมสภาพคล่องสายการบิน กำชับให้กระทรวงคลัง และสศช.เร่งรัดหาข้อสรุปเพื่อปล่อยกู้โดยเร็วที่สุด ในส่วนของแบงก์รัฐยังต้องใช้ ธ.ก.ส. ออมสิน กรุงไทย เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลสภาพคล่องของประชาชนรายย่อย
นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อปัญหาโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จึงต้องเปิดประเทศรองรับการลงทุน ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว โดยยึดหลักมาตรฐานของสาธารณสุข แบบการ์ดไม่ตก เพื่อไม่ให้นำเชื้อไวรัสเข้ามาแพร่เชื้อในประเทศ เนื่องจากไทยกลายเป็นแดนสวรรค์ของนักลงทุนและการท่องเที่ยว ซึ่งมีความปลอดภัยจากแพร่เชื่อ ถือว่าเป็นปัจจัยบวกที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยมุ่งใช้แรงจูงใจเดิมผ่านบีโอไอ มาตรการทางภาษี ที่มีอยู่แล้วจำนวนมาก ชักจูงให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตอีอีซี เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกให้ได้ตามแผนที่วางไว้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังมอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ผ่านโครงการต่างๆ ทั้งของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้มีเม็ดเงินออกสู่ระบบในช่วงปลายปี เพื่อผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะด้านคมนาคม หลายโครงการเปิดให้บริการตามกำหนด รวมถึงการการพิจารณากลั่นกรองโครงการภายใต้เงินกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อพิจารณาโครงการในส่วนที่ประชาชนได้ประโยชน์ เร่งนำเงินออกไปใช้โดยเร็ว ยืนยันฐานะทางการคลังของประเทศกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่าฐานะทางการคลังมีความมั่นคงมาก. – สำนักข่าวไทย