กรุงเทพฯ 8 ต.ค. – กยท.พบการระบาดโรคใบร่วงชนิดใหม่ยางพาราใน 6 จังหวัดภาคใต้ เร่งนำนวัตกรรมเครื่องจักรกลช่วยพ่นสารกำจัดเชื้อรามาใช้ในแปลงของเกษตรกร
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า เมื่อปีที่ผ่านมาโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราส่งผลกระทบต่อสวนยางพาราของเกษตรกรเกือบ 800,000 ไร่ ใน 10 จังหวัดภาคใต้ แต่ปัจจุบันยังคงพบการระบาดประมาณ 23,269 ไร่ ใน 6 จังหวัด ได้แก่ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา ตรัง และสุราษฎร์ธานี จึงมอบนโยบายและงบประมาณแต่ละพื้นที่ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา โดยจัดอบรมและแจกจ่ายเอกสารความรู้ด้านโรคและแนวทางการป้องกันกำจัดแก่พนักงาน เกษตรกรชาวสวนยาง และผู้เกี่ยวข้องครอบคลุมแทบทุกพื้นที่ในภาคใต้
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ กยท.ในพื้นที่ที่พบการระบาดของโรคนี้ประสานเกษตร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง หรือเจ้าของสวนยาง จัดทำโครงการของบประมาณจาก กยท.ตามมาตรา 49 (3) ในการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ฉีดพ่น รวมถึงยาป้องกันกำจัดเชื้อรา ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 6 พื้นที่ คือ นราธิวาส พังงา กระบี่ ตรัง และสุราษฎร์ธานี ล่าสุดฉีดพ่นสารในแปลงที่พบโรคระบาดอีกครั้งที่แปลงเกษตรกร อ. ย่านตาขาว จ. ตรัง ด้วยเครื่องพ่นสารแบบใช้แรงลมขนาดใหญ่ (แอร์บล๊าส) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ได้ใช้เครื่องมือชนิดนี้ฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดโรคในสภาพแปลงยางจริง
ด้านนายกฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กล่าวว่า หลังจากนำตัวอย่างไปวิเคราะห์พิสูจน์เชื้อหาสาเหตุแล้ว พบว่าโรคใบร่วงชนิดนี้เป็นเชื้อ Colletotrichum sp. สำหรับสารเคมีในการป้องกันกำจัดเชื้อราชนิดนี้ทดสอบได้ผลแล้วในห้องปฏิบัติการ เช่น คาร์เบนดาซิม โพรพิโคนาโซล เฮกซะโคนาโซล โพรพิโคนาโซลผสมกับไดฟีโนโคนาโซล เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลไปทดสอบในสภาพแปลงจริงร่วมกับกรมวิชาการเกษตรที่ อ. ระแงะ ยี่งอ และสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยใช้ทั้งอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) และเครื่องยนต์พ่นสารแบบแรงดันน้ำสูงชนิดลากสายในการฉีดพ่น ซึ่ง กยท.จะติดตามผลต่อไป ในส่วนของงบประมาณปี 2464 ยังมีโครงการศึกษากลไกการเข้าทำลาย สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค หรือการเตือนภัยเพื่อนำมาใช้บริหารจัดการโรคได้ถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับแผนการวิจัยด้านพัฒนาพันธุ์ต้านทานโรคนี้มีความสำคัญเช่นกัน กยท.กำลังดำเนินการควบคู่ไปด้วย และที่สำคัญการสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ระหว่างประเทศผู้ผลิตยางที่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งจะจัดขึ้นกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลนำมาบริหารจัดการโรคต่อไปไม่ให้มีการแพร่กระจายมากไปกว่านี้.-สำนักข่าวไทย