กรมป่าไม้เตรียมยื่นคัดค้านอัยการสั่งไม่ฟ้อง บ.น้ำมันปาล์มรุกป่าสงวน

กรุงเทพฯ  24 ก.ย. – อัยการจังหวัดกระบี่มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทยูนิวานิชน้ำมันปาล์มกับพวก บุกรุกป่าปลายคลองพระยา เนื้อที่กว่า 300 ไร่  ด้านสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ เตรียมเสนออธิบดีกรมป่าไม้ยื่นคัดค้านต่ออัยการสูงสุด


นายสมชาย นุชนานนท์เทพ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ (สจป.) ที่ 12 สาขากระบี่ ทำหนังสือด่วนที่สุดถึงนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ เรื่อง คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการคดีอาญา 2 คดี ที่กรมป่าไม้จับกุมดำเนินคดีบริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) กับพวก รวม 3 คน ตามที่แจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปลายพระยา เมื่อวันที่ 26  กันยายน 2562 ฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีเนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ พร้อมยึดทรัพย์และแจ้งความอีกคดีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2562

ล่าสุดพนักงานอัยการจังหวัดกระบี่แจ้งผลคดีมายังสถานีตำรวจภูธรปลายพระยาว่า อัยการจังหวัดกระบี่มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องและไม่ริบของกลาง ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน 1 หลัง ป้อมยาม 1 หลัง โรงประปา 1 หลัง โรงจอดรถ 3 หลัง โรงเก็บปุ๋ย 1 หลัง สถานีจ่ายน้ำมัน 1 หลัง อาคารซ่อมบำรุง 1 หลัง บ้านพัก 15 ห้อง โรงเรือนเครื่องส่งน้ำ 1 แถว และโรงจอดขนาดใหญ่ 2 โรง


ทั้งนี้ อัยการจังหวัดกระบี่ให้เหตุผลประกอบคำสั่งไม่ฟ้องว่า ทางบริษัทกับพวก รวม 3 คน ซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินเดิมหลายรายและครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ใช้บังคับ อีกทั้งเจ้าหน้าที่กรมที่ดินเคยเดินสำรวจรังวัด จัดทำแผนที่ และจัดสร้างรูปแปลงที่ดินพร้อมที่ตั้ง ตำแหน่งแปลงที่ดิน โดยระบุชื่อเจ้าของที่ดินเดิมลงในระวางแผนเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายที่เจ้าพนักงานที่ดินต้องลงนามและประทับตราตำแหน่งลงในเอกสาร น.ส.3 ก เท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้ต้องหาได้รับหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งเป็นการครอบครองและทำประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อได้รับสัมปทานเข้าทำประโยชน์ย่อมมีการปลูกสร้างอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นปกติวิสัย การกระทำดังกล่าวจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดและขาดเจตนาที่จะบุกรุกป่า

นายสมชาย กล่าวต่อว่า ได้เสนอข้อพิจารณาถึงอธิบดีกรมป่าไม้ว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดต่อรัฐ ซึ่งยังไม่ได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ครบถ้วน คือ ที่ดินบริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์มยึดถือครอบครองเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าปลายพระยา ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2526 ซึ่งทางบริษัททราบดี เนื่องจากได้ยื่นขออนุญาตเข้าประโยชน์และอยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเนื้อที่  20,000 ไร่ ซึ่งรัฐอนุญาตให้บริษัทเข้าทำประโยชน์เป็นระยะเวลา 30 ปี ตั้งแต่ปี 2526-2556 หลังจากหมดอายุการอนุญาต กรมป่าไม้ไม่อนุญาตให้บริษัทเข้าทำประโชน์อีกต่อไป โดยกรมมีหนังสือแจ้งให้บริษัททราบหลายครั้ง เพื่อให้ขนย้ายทรัพย์สินออกจากป่าสงวนที่หมดอายุการอนุญาตแล้วภายใน 90 วัน แต่ทางบริษัทไม่ย้ายออก จึงถือว่าเจตนายึดถือครอบครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น สจป.ที่ 12 จึงตรวจยึดพื้นที่และจับกุมดำเนินคดีอาญา


ส่วนประเด็นที่ทางบริษัทอ้างการครอบครองพื้นที่มาก่อน โดยการซื้อที่ดินจากชาวบ้านนั้น ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฎหลักฐานว่า เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์เป็นเพียงที่ดินมือเปล่าและไม่มีหลักฐานการครอบครองที่ดินหรือ ส.ค.1 จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ดินที่มิชอบด้วยกฎหมาย

ทั้งนี้ ระหว่างคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ทางบริษัทยังเข้ายืดถือครอบครองและทำประโยชน์ในพื้นที่ นับแต่วันตรวจยึดคำเนินคดี โดยปิดกั้นสถานที่ด้วยกุญแจและโซ่ล่ามรั้วอาคารสถานที่ ส่วนบ้านพักคนงานปิดล็อกอย่างหนาแน่น เปิดไฟบริเวณบ้านพักคนงานไว้ตลอดแนว และบริเวณแปลงกล้าปาล์มน้ำมันยังคงมีกล้าปาล์มเพาะเลี้ยงอยู่จำนวนมาก โดยเจ้าหน้าที่จัดทำบันทึกเพื่อนำไปลงบันทึกประจำวันต่อพนักงานสอบสวนเป็นหลักฐาน และประกอบพฤติการณ์ในคดีที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้ว พร้อมจัดเวรยามควบคุมพื้นที่ที่ห้าเข้ามาทำประโยชน์ 2 แปลง คือ​ ​แปลงที่ตั้งอาคารสำนักงานและบ้านพักคนงาน 28 ไร่เศษและแปลงเพาะพันธุ์กล้าปาล์มน้ำมัน 288 ไร่เศษ

“เมื่อบันทึกข้อความแจ้งการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการกระบี่ถึงอธิบดีกรมป่าไม้แล้ว ตามขั้นตอนอธิบดีจะพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมด หากไม่เห็นด้วยกับการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการจังหวัด อธิบดีกรมป่าไม้จะเสนอคัดค้านต่ออัยการสูงสุดต่อไป” นายสมชาย กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

มุกใหม่มิจฉาชีพ

มุกใหม่มิจฉาชีพ! ป่วนโทรแจ้ง ตร. เกิดเหตุร้ายที่บ้านเหยื่อ

อินฟลูฯ สาว สายทำอาหาร ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจโทรหา แต่เธอไม่เชื่อ โดนท้าอีก 10 นาทีเจอกัน ปรากฏว่า มีตำรวจจาก 2 โรงพักบุกมาที่บ้านจริง

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา บอกสนามใหญ่ ไม่เข้าไปก้าวก่ายสนามท้องถิ่น ซ้ายก็เพื่อน ขวาก็พวก

ครม.เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปี

“จุลพันธ์” เผย ครม.เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มผู้สูงอายุ วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการทันก่อน 29 ม.ค.68 รวม 3 มาตรการ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 1.4-1.5 แสนล้านบาท

ข่าวแนะนำ

นายกฯ เสียใจ “เจจูแอร์” ไถลออกรันเวย์ สั่งตรวจสอบช่วยเหลือหากมีคนไทย

นายกฯ แสดงความเสียใจเหตุเครื่องบินสายการบินเจจูแอร์ ไถลออกรันเวย์ไฟลุกท่วม พร้อมสั่งตรวจสอบช่วยเหลือหากมีคนไทย

“บิ๊กต่าย” สั่งขยายผลแก๊งทำคอนเทนต์ รุมแกล้ง “แบงค์ เลสเตอร์”

“บิ๊กต่าย” สั่งการขยายผลกระทำผิดของแก๊งทำคอนเทนต์ ที่รุมแกล้ง “แบงค์ เลสเตอร์” ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หากการกระทำไหนเข้าข่ายความผิด ก็ดำเนินคดีตามกฎหมายในทุกกรณี

28 dead as jet carrying 181 people crashes while landing in S. Korea's Muan

เครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปเกาหลีใต้ชนหลังออกนอกรันเวย์

โซล 29 ธ.ค.- เครื่องบินของสายการบินเชจูแอร์ (Jeju Air) ที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเกาหลีใต้ ลื่นไถลออกนอกทางวิ่งหรือรันเวย์ และชนกับรั้วกั้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติมูอัน มีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน เว็บไซต์สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้ รายงานว่า ตำรวจและนักดับเพลิงในเกาหลีใต้แจ้งว่า เหตุเกิดเมื่อเวลา 09.07 น. วันนี้ตามเวลาเกาหลีใต้ ตรงกับเวลา 07.07 น. วันนี้ตามเวลาไทย เมื่อเครื่องบินของเชจูแอร์ เที่ยวบิน 7ซี2216 (7C2216) นำผู้โดยสาร 175 คน ลูกเรือ 6 คน เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติมูอัน ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 288 กิโลเมตร เครื่องบินลื่นไถลออกนอกรันเวย์และชนกับรั้วกั้น เป็นเหตุให้เครื่องบินได้รับความเสียหายอย่างหนักและเกิดไฟไหม้ เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 28 คน ทั้งหมดนั่งอยู่ที่ส่วนท้ายของเครื่องบิน คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอีก ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางกลับจากไทย มีเพียง 2 คนที่เป็นชาวไทย เจ้าหน้าที่สามารถดับไฟที่ไหม้ครื่องบินได้แล้ว และกำลังปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย รวมทั้งเริ่มการสืบสวนสอบสวน ณ […]