ศบศ.เสนอแผนสะพานไทยกระตุ้นเศรษฐกิจ

กรุงเทพฯ 21 ก.ย.  – ศบศ.เตรียมมาตรการดึงเงินเป๋าใหญ่ คนรวยใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ  และเสนอแผนสร้างสะพานข้ามทะเล 9 แสนล้านบาท เชื่อมอีอีซีและภาคใต้  หวังเศรษฐกิจไทยไม่ซึมแบบตัวแอลลากยาว จี้รัฐวิสาหกิจลงทุน-รับคนเหมือนเดิมก่อนโควิด-19


นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการบริหารเศรษฐกิจ ภายใต้ คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือ ศบศ. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวไทย โดยยืนยัน ศบศ.ซึ่งมีคณะทำงานจากภาคเอกชน ภาครัฐ มีมาตรการระยะสั้น กลาง ยาว มาช่วยกันดูและผลักดันให้เกิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่งทยอยออกมาไม่ให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังล็อกดาวน์เป็นแบบรูปตัวแอลลากยาว  โดยอยากจะเห็นว่าจีนฟื้นเศรษฐกิจเป็นตัววี ไทยก็อยากจะเห็นเป็นเช่นนั้น

โดยมาตรการระยะสั้นที่ออกมาหลากหลาย เช่น  มาตรการระยะสั้นไปรากหญ้า มีการจ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14-15  ล้านคน มีมาตรการคนละครึ่ง ก็จะเป็นการสร้างตลาดให้เอสเอ็มอี สามารถขายสินค้าได้ ช่วยหาบเร่แผงลอยขายของได้  และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีเสนอควบคุมเครดิตเทอมที่กลุ่มธุรกิจจ่ายเงินให้เอสเอ็มอี  ซึ่งมีการยืดจ่ายเครดิตเทอม 50-60 วัน ก็อยากให้เหลือ 30 วัน  และจะมีการมาตรการ “กระเป๋าใหญ่” ดึงให้คนรวยออกมาใช้จ่าย ซึ่งกำลังศึกษารายละเอียด


ส่วนเด็กจบใหม่ปีละ 400,000 คน ก็จะมีแนวทางจ้างงาน  200,000 คนที่รัฐจะร่วมออกออกเงินครึ่งหนึ่งในวงเงินว่าจ้าง 15,000 บาท/เดือน ออกให้เป็นเวลา 1 ปี ขณะที่เอกชนก็ร่วมจ้างด้วย เช่น กลุ่มซีพี  กลุ่ม ปตท.ที่ทยอยประกาศจ้างงานออกมาหลายหมื่นคน อย่างไรก็ตาม เด็กจบใหม่บางส่วนก็ได้หารือกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. จะจูงใจให้เรียนต่อปริญญาโท โดยภาครัฐจะออกค่าหน่วยกิตให้ส่วนหนึ่ง และยังจะมีโปรแกรมดึงนักศึกษาจีนมาเรียนไทยเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดรายได้ตัวใหม่จากที่เดิมเราพึ่งพาการส่งออก การลงทุน การท่องเที่ยว ก็เป็นการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เพราะขณะที่นักศึกษาจีนจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

“จีนมีเด็กจีนจบ ม.ปลาย 9 ล้านคน/ปี มหาวิทยาลัยในจีนไม่พอเรียน ​ที่ผ่านมาก็ไปเรียนสหรัฐ 400,000  ออสเตรเลีย 200,000 ยุโรป-อังกฤษ 200,000-300,000  คน​ จากนี้ไปจะอยู่ยาก​ เพราะปัญหาสงครามการค้า ท่ามกลางวิกฤติมีโอกาส เราก็ควรดึงกลุ่มนี้มาเรียนในไทย​ เด็กกลุ่มนี้ปกติจ่ายค่าเรียนปีละ 60,000-70,000  เหรียญสหรัฐ/ปี​ หากได้มา 50,000-100,000  คน ก็ถือว่าเยอะ ควรใช้จุดเด่น​ของปลอดภัยเมืองน่าเที่ยว หากมั่นใจว่าคุณภาพการศึกษาเราคุยว่าดี ก็ควรจะรับ จะเป็นมาตรการถัดไปที่จะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสมาช่วยฟื้นเศรษฐกิจ  ซึ่งที่ผ่านมานักศึกษาจีนนับเป็นรายได้หลักของสหรัฐ ออสเตรเลีย  อังกฤษ” นายไพรินทร์ กล่าว

นอกจากนี้ ในการกระตุ้นระยะสั้นจากผลกระทบนักท่องเที่ยวต่างประเทศหดหาย ซึ่งปกติจะสร้างรายได้แก่ไทยประมาณ  2 ล้านล้านบาท/ปี และคนไทยท่องเที่ยว 1 ล้านล้านบาท/ปี  ดังนั้น เดือนตุลาคมนี้จะออกโปรแกรมบังคับเที่ยว (FORCE TOURISM) ในช่วงวันอาทิตย์-พฤหัสบดี เช่น ขอให้กลุ่ม ปตท.และอีกหลายบริษัทจะให้พนักงานไปทำงาน หรือเที่ยว เช่นเดียวแบบการทำงานที่บ้าน (เวิร์กฟอร์มโฮม) โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำลังประสานไปยังโรงแรมต่าง ๆ ให้ส่วนลดค่าห้องเป็นพิเศษ และเงินก็จะจ่ายตรงไปยังโรงแรม ซึ่งก็จะเป็นการกระตุ้นการจ้างงานก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันเดือนพฤศจิกายน


ส่วนโรงแรมใน กทม.ขณะนี้พบว่ามีปัญหาอย่างหนัก เพราะต่างชาติไม่เข้ามา ส่วนนักท่องเที่ยว กทม.ก็ไป ต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งที่จะมีการเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. คือ จะขอให้เปิดให้คนไทยในต่างชาติกลับมาเพิ่มขึ้นจาก 300 คน/วัน เป็น 600 คน/วัน   เป็นการช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนที่ยังตกค้างหลายหมื่นคน และเมื่อกลับมาต้องสเตรทควอรันทีน 14 วัน รัฐออกเงินให้ 1,000 บาท/วัน โรงแรมเหล่านี้ก็พร้อมเข้าร่วมโครงการเพิ่มมากขึ้น

ส่วนปัญหาการจ้างงานต่างด้าวที่มีปัญหาที่ด่านชายแดนเปิดให้เข้ามา 30 คน/วัน/ด่าน ก็จะเสนอให้เปิดเพิ่มขึ้นเท่าตัว เพราะขณะนี้มีปัญหามาก เช่น ไม่มีคนงานเก็บผลไม้ งานก่อสร้างต่าง ๆ  โดยการกักตัวเพื่อ ป้องกันการติดเชื้อ ก็จะเป็นรูปแบบให้นายจ้างเป็นผู้ดำเนินการ

ขณะเดียวกันจะเสนอ ศบค.ว่าไทยควรจะใช้รูปแบบเดียวกับสิงคโปร์ เวียดนาม ญี่ปุ่น คือ เปิดประเทศให้เข้า โดยให้ประเทศต้นทางทำการกักตัว (เสตรท ควอรันทีน) 14 วัน แทนที่จะเข้ามาทำในไทย หากเป็นรูปแบบนี้ก็จะค่อยเปิดประเทศรับทั้งนักลงทุน นักท่องเที่ยวกลับมาเพิ่มขึ้น  เช่น นักธุรกิจญี่ปุ่น ปัจจุบัน 1 สัปดาห์  ศบค.อนุญาตให้บินเข้าไทย 1 ลำ ประมาณ 200 คน ซึ่งนับว่าน้อย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวนักธุรกิจก็ต้องการเข้ามาพักผ่อน  เพราะเมืองไทยปลอดภัย หากไทยอนุมัติให้เข้าแบบ LONG STAY ก็จะช่วยเพิ่มรายได้แก่ประเทศ  ด้านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็ได้มีข้อเสนอให้อนุญาตผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนบินเข้าไทยเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะดึงดูดการลงทุนท่ามกลางปัญหาสงครามการค้า และกำลังมองถึงการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาได้เป็นกรณีพิเศษ ตามเงื่อนไขซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมา ส่วนปัญหาที่ชาวจีนทิ้งเงินดาวน์ที่ตกลงกันไว้ก่อนเกิดปัญหาโควิด-19 ในเรื่องนี้ทราบว่าจีนจะกลับเข้ามาผ่อนต่อหลังจากไทยคุมโควิด-19 ได้ ก็กำลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะผ่อนคลายเพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ซื้อชาวจีนส่งเงินมายังไทย เพื่อผ่อนดาวน์ต่อได้อย่างไร ซึ่งก็จะเป็นแนวทางแก้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์

มาตรการระยะยาว ได้เร่งกระตุ้นการลงทุนตามเมกะโปรเจกต์ โดยที่ประชุม ศบศ.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เห็นชอบให้เร่งกว่า 30 โครงการ เม็ดเงินมหาศาลนับแสนล้านบาท  และอีก 1 โครงการที่ตนเสนอ และ ศบศ.เห็นด้วย และเตรียมเสนอเข้าคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ( อีอีซี ) วันที่ 2 ตุลาคม  คือ  โครงการสะพานไทยเชื่อมต่อโครงการอีอีซีภาคตะวันออกไปยังภาคใต้ สร้างเป็นอุโมงค์สะพานเชื่อมระหว่างจังหวัดชลบุรีไปยังจังหวัดเพชรบุรี หรือประจวบคีรีขันธ์  ความยาว 80 กม. เช่นเดียวกับอ่าวโตเกียวของญี่ปุ่น  หรือจีนที่เปิดสะพานเชื่อมฮ่องกง- มาเก๊า- จูไห่  เป็นการย่นระยะทางระหว่างการเดินทาง 2 ฝั่ง เป็นการนำความเจริญจากภาคตะวันออกไปสู่ภาคใต้ เบื้องต้นคาดลงทุน 900,000  ล้านบาท ลงทุนประมาณ 10 ปี โดยการศึกษาทางธรณีวิทยามีความเป็นไปได้ความลึกอ่าวไทยเพียง 20 เมตร ใช้ความเชี่ยวชาญที่ไทยมีการลงทุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมายาวนาน โดยเฉพาะ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ทะเลไทยสร้างได้และที่สำคัญจะใช้วัสดุทั้งเหล็กและปูนของไทย 100 เปอร์เซนต์ ​ โดยจะให้อีอีซีดำเนินการและดึง​สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)​ มาร่วมศึกษา

“เครื่องยนต์เศรษฐกิจ​ขณะนี้ติดอยู่เครื่องเดียว คือ การลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะหยุดไม่ได้ ศบศ.มีการชงเร่งลงทุน 30 โครงการ หลายแสนล้านเกือบ 1 ใน 3 เป็นโครงการพีพีพี  คือ เอกชนลงทุนด้วย​ เรากำลังสร้างบรรยากาศ และเราก็บอกว่าเอกชนอย่าหยุดลงทุน เพื่อดึงเศรษฐกิจกลับมาให้ได้ โดยหวังว่าไตรมาส 3 ตัวเลขที่ลดน้อยกว่าร้อยละ 12 และไตรมาส 4 ก็ดีขึ้น และเมื่องบประมาณแผ่นดิน 2564 เข้ามาลงทุนเพิ่มเศรษฐกิจจะค่อยกลับคืนสภาพ​  โดยเมื่อภูมิใจชนะโควิด-19 ก็ต้องค่อยดึงเศรษฐกิจให้กลับคืนมาจากตัวแอลหางยาวมุ่งให้เป็นตัววีให้ได้เหมือนกับจีน  เรามีเวลาสั้น ๆ ที่ต้องทำ กลอุบายคือ การทำงาน ของ​ ศบศ.”  นายไพรินทร์ ​กล่าว

นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือไปยังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) แจ้งทุกรัฐวิสาหกิจทุกแห่งให้รับพนักงานใหม่ประมาณ 100,000 คน และใช้งบประมาณการสัมมนาเหมือนกับช่วงต้นปีก่อนที่จะเกิดเหตุโควิด-19 เพราะทราบว่าหลังเกิดโควิด-19 ทุกแห่งมีการปรับลดงบประมาณ ลดการรับคน ซึ่งในฐานะหน่วยงานของรัฐก็ควรจะเป็นองค์กรหลักที่ร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

อดีตครูจำใจสร้างห้องขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา

สลด! อดีตครูวัย 64 ปี จำใจจ้างช่างทำห้องคล้ายกรงขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา-พนันออนไลน์ หลังส่งตัวบำบัดกว่า 10 ครั้ง แต่ออกมาก็เหมือนเดิม

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2 โชคดีบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ส่งรักษาตัวที่ รพ.เจ้าพระยา

อาม่าแจ้งความ “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธีสูญ 60 ล้าน

อาม่าวัย 77 ปี โร่แจ้งความเอาผิด “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธี-แนะซื้อวัตถุมงคลแล้วไม่ได้รับของ สูญเงินกว่า 60 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

เรือใบอิตาลีที่สวยงามที่สุดในโลกเดินทางถึงภูเก็ตแล้ว

ภูเก็ตคึกคัก เรือใบอิตาลีที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดลำหนึ่งของโลก ออกเดินทางมาแล้วรอบโลก ได้เข้าจอดเทียบท่าจังหวัดภูเก็ต โดยมีทัพเรือภาคที่ 3 ให้การต้อนรับทหารเรืออิตาลีกว่า 150 นาย อย่างอบอุ่นพร้อมเปิดให้ประชาชนขึ้นชมเรือฟรีได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (6 พ.ย.)

พระเปย์สีกา ช่องโหว่ผลประโยชน์ในดงขมิ้น

รองเจ้าอาวาสวัดชื่อดังแห่งหนึ่งในมหาสารคาม ขอลาสิกขากลางดึก หลังถูกแฉ เป็นพระปลัดใจป๋า เปย์สีกาไม่อั้น ขณะที่รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สั่งตรวจสอบว่า เป็นเงินส่วนตัว หรือ เงินวัด เพราะจะมีความผิดแตกต่างกัน

“สันธนะ” เปิดใจหลังเคลียร์ใจ “ชูวิทย์” กลับไทยขึ้นศาล

“สันธนะ” เผย นอนคิดมา 1 คืนเริ่มใจอ่อนรับคำขอโทษ “ชูวิทย์” รับรู้ถึงความจริงใจ แต่คดีอาญาถอนฟ้องไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามกฎหมาย