กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – คปภ.จับมือกรมการขนส่งทางบก เชื่อมโยงข้อมูลตรวจสอบประกันภัยรถภาคบังคับ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบกเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ เพื่อตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับ และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตรวจสอบการจัดทำประกันภัยรถภาคบังคับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ.ให้กับประชาชนผู้ใช้บริการต่อภาษีรถมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฏหมายของทั้ง 2 หน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล และปกป้องความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล รวมถึงจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจระหว่าง 2 หน่วยงาน โดย คปภ.จะส่งเสริมการให้ความรู้ด้านประกันภัยแก่บุคลากรของกรมการขนส่งทางบกและประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา คปภ.เชื่อมโยงข้อมูลการจัดทำประกันภัย พ.ร.บ.ผ่านระบบสินไหมอัตโนมัติ (E-Claim System) ซึ่งเป็นระบบการจัดการค่าสินไหมทดแทนของประกันภัย พ.ร.บ. ซึ่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลส่วนใหญ่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และกว่าร้อยละ 90 ของการจัดการค่าสินไหมฯ ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุจากรถดำเนินการที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล หากสถานพยาบาลทุกแห่งใช้ระบบ E-Claim อย่างครบถ้วน ผู้ประสบภัยจากรถจะไม่ต้องสำรองจ่ายทั้งค่าเสียหายเบื้องต้น และค่าสินไหมทดแทนส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น นอกจากจะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประสบภัยแล้วจะเป็นผลให้ระดับการรักษาอยู่ในขั้นที่เพียงพอ โดยไม่ต้องรอหาผู้ที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่อผู้ประสบภัยให้เจอก่อนจึงจะทำการรักษาต่อไปได้
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เพื่อคุ้มครองสิทธิ์และดูแลประชาชน เนื่องจากการประกันภัยรถภาคบังคับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 นั้น รถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องทำไว้ เพื่อเป็นหลักประกัน กรณีเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายจากการใช้รถ เพื่อให้คนในรถทุกคันได้รับสิทธิ์ดังกล่าว หรือผู้ที่ใช้รถใช้ถนนให้ได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองจากอุบัติเหตุ หรือการประสบภัยจากรถในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ซึ่งปัญหาความล่าช้าและไม่ถูกต้องในการรับชำระภาษีรถประจำปีที่ในปัจจุบันการรับชำระภาษีรถยังคงใช้หลักฐานการจัดทำประกันภัยรถที่ยังไม่สิ้นสุดระยะเวลาความคุ้มครองเป็นเอกสารประกอบ ทำให้เกิดภาระทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการและหน่วยงานของรัฐในการจัดเก็บเอกสารหลักฐานดังกล่าว ดังนั้น ความร่วมมือพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบตรวจสอบการจัดทำภัยรถภาคบังคับจะช่วยแก้ไขปัญหาและเพิ่มความสะดวก รวดเร็วให้กับประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด.-สำนักข่าวไทย