กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – ช.การช่างมั่นใจแนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างครึ่งหลังปี 63 ฟื้นตัวดี เดินหน้าประมูลโครงการใหม่ทั้งรถไฟฟ้าและโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ใน สปป.ลาว ด้านจีจีซียอมรับยอดขายบี 100 หดตัว ย้ำ นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เดินหน้าตามแผน
นายสุวัฒน์ กมลพนัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยว่า โครงการ “นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์” (Nakhonsawan Biocomplex) มีความคืบหน้า โดยโครงการระยะที่ 1 มุ่งเน้นการต่อยอดสู่เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ประกอบด้วย โรงหีบอ้อย โรงงานเอทานอล โรงงานไฟฟ้าชีวมวลและผลิตไอน้ำความดันสูง ปัจจุบันมีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วกว่าร้อยละ70 คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 4/2564 และทันฤดูการหีบอ้อยปี 2564 และ2565
นายสุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะปกติใหม่ (New Normal) GGC ยังคงดำเนินการอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยกลับมาเปิดบริการอีกครั้ง แต่ปัจจัยเสี่ยงด้านลบยังมีความไม่แน่นอนสูง อาทิ ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 สถานการณ์ภัยแล้งและเสถียรภาพการเมืองในประเทศ โดยบริษัทมียอดขายกลีเซอรีนเพิ่มมากขึ้น แต่ยอดขายผลิตภัณฑ์เมทิลเอสเทอร์ (B100) และแฟตตี้แอลกอฮอล์ ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมีการประสานกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดและแสวงหาลูกค้ากลุ่มใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่าสำหรับปี 2563 บริษัทฯ ยังคงมุ่งไปที่การพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ตามโมเดลธุรกิจแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) ซึ่งสามารถดำเนินการได้รวดเร็ว คล่องตัว และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ โดยการดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานมาต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ไม่มากและยังสามารถสร้างกระแสรายได้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง มั่นใจในความพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลงานโครงการสาธารณูปโภคใหม่ต่าง ๆ ของภาครัฐทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่คาดว่าจะกลับมาเดินหน้าตามแผนในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยสู่ New Normal
นางสาวสุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPกล่าวว่า สิ้นปี 2562 บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) มูลค่า 38,515 ล้านบาท มีผลงานความสำเร็จที่สำคัญ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2562 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายระยะที่ 2 (สถานีหัวลำโพง – สถานีหลักสอง) ซึ่งได้ทะยอยเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่กันยายน 2562 และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ครบทั้งสายเดือนมีนาคม 2563
ส่วนการดำเนินธุรกิจในอนาคตและแผนการประมูลงาน คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นกลจักรหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจะมีการทยอยเปิดประมูลออกมาตามแผน ทางบริษัทจึงพร้อมเดินหน้าสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยไปสู่ New Normal โดยโครงการที่เราให้ความสำคัญ คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก มูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีม่วงด้านใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มูลค่า 77,000 ล้านบาท และโครงการรถไฟทางคู่ที่ผ่าน EIA แล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 180,000 ล้านบาท สำหรับต่างประเทศ ขณะนี้ CKP อยู่ระหว่างเจรจาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแห่งใหม่ในลาว มูลค่าใกล้เคียงกับไซยะบุรี มั่นใจว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2563 ไว้ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท. -สำนักข่าวไทย