กรุงเทพฯ 6 ส.ค. - สสว.ช่วยเอสเอ็มอีสู้วิกฤติโควิด-19 จัดหาช่องทางตลาดเพิ่มยอดขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ขยายตลาดในประเทศและต่างประเทศ
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงให้กลับมาเข้มแข็ง ภายใต้แนวทาง สสว.CONNEXT “เชื่อมคน เชื่อมเอสเอ็มอี เชื่อมโลก” ประกอบด้วย การช่วยเอสเอ็มอีเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน การลดค่าใช้จ่ายเพิ่มประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มช่องทางการตลาด โดยเชื่อมต่อทั้งช่องตลาดออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การจัดงานแสดงสินค้า และการทดสอบตลาด และการจับคู่เจรจาธุรกิจ
ผอ.สสว. กล่าวเพิ่มเติมว่า การส่งเสริมการตลาดออนไลน์ แบ่งเป็น การดำเนินงานบนแพลตฟอร์มของ สสว. เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าและจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคในรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และการสนับสนุนช่องทางออนไลน์ของผู้ประกอบการ เช่น เฟซบุ๊คส์ อินสตาแกรม โอเอ (OA) เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นที่ผู้ประกอบการจัดสร้างเอง หรือผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซของ Shopee หรือ Lazada
สำหรับตัวอย่างการดำเนินงานบนแพลตฟอร์มของ สสว. เช่น “ตลาดช้อปแชท” บนแอปพลิเคชั่นไลน์โอเพ่นแช็ต โดยจับกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบสินค้าไลฟ์สไตล์ การดำเนินงานของตลาดนี้ทำให้กลุ่มของผู้ประกอบการใหม่ได้ทำการทดสอบตลาดจริง ตั้งแต่วิธีการเลือกสินค้า การจัดทำข้อมูล การโปรโมทสินค้าของตน เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคเป้าหมาย หรือตลาด กทบ. สสว. ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบนแอพลิเคชั่นไลน์ ก็เป็นความร่วมมือระหว่าง สสว.และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เพื่อยกระดับสินค้าและผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าท้องถิ่น โดย สสว.จะสนับสนุนการสร้างแพลตฟอร์มการซื้อขาย และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกสื่อภายใต้การดำเนินงานของ สสว. และล่าสุดเพิ่มช่องทางอี-คอมเมิร์ซผ่านตลาดมะเฟือง เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าพรีเมี่ยม หรืออัตลักษณ์ ของสมาชิกสสว. ซึ่งเป็นการส่งเสริมการขายออนไลน์เต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกว่า 35,343 ราย สร้างรายได้ว่า 1,500 ล้านบาท
นายวีรพงศ์ กล่าวว่า การสนับสนุนช่องทางออนไลน์ ได้แก่ จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ เช่น การบริหารจัดการธุรกิจ การเขียนเนื้อหาสินค้า เทคนิคการถ่ายภาพ โลจิสติกส์ /ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง และการใช้แพลตฟอร์ม เป็นต้น ส่วนตลาดออฟไลน์ ประกอบด้วย การจัดงานแสดงสินค้า และการทดสอบตลาด และการจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้ผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 11,261 ราย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 11,575 ล้านบาท โดยปี 2563 ตลาดต่างประเทศจะมุ่งเน้นไปยังจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน บาห์เรน อินเดีย และกลุ่มอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปินส์ มาเลเซีย พม่า เวียดนาม สปป.ลาว หรือ กัมพูชา โดยใช้รูปแบบทั้งออนไลน์ผ่านโปรแกรมคอนเฟอร์เรนซ์ ควบคู่ไปกับรูปแบบออฟไลน์ สำหรับผู้ซื้อในประเทศไทย เน้นสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ของตกแต่ง เครื่องสำอาง และธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ
นอกจากนี้ การจัดงานแสดงสินค้าและการทดสอบตลาดภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ จะมุ่งไปที่การขายปลีก เพื่อเพิ่มยอดให้กับเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมกิจกรรม เช่น SME Fest, SME Market Fair, SME Festival Trade Fair โดยจะจัดในศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ ศูนย์การค้าต่าง ๆ ศูนย์ราชการและแหล่งชุมชนทั่วทุกภูมิภาค ทั้งหมด 37 ครั้งทุกภูมิภาค โดยกลุ่มสินค้าที่ไปจัดแสดงมีทั้งกลุ่มอุปโภคบริโภค แฟชั่น เครื่องแต่งกาย และอาหาร ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นยอดขายและทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจกว่า 13,000 ล้านบาท จากตลาดออนไลน์และออฟไลน์ และขอเชิญชวนผู้บริโภคชาวไทยช่วยกันอุดหนุนสินค้าไทย โดยผู้ประกอบการไทย ซึ่งผู้ประกอบสามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของ สสว.ได้ทางแอปพลิเคชั่น SMECONEXT และจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ สสว.-สำนักข่าวไทย