กรุงเทพฯ 28 พ.ย.-เลขาธิการก.ล.ต.แนะบล.และบลจ.เก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายให้เป็นธรรมและพัฒนาการบริการให้มีคุณภาพมากขึ้น ขณะที่ตลท.ต้องการเห็นการพัฒนาระบบการซื้อขายกองทุนรวมครบวงจร
นายรพี สุจริตกุล
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
กล่าวในงานสัมมนา” Regulating by market forces” ว่าปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์
(บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) มีการเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขาย
และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน โดยเฉพาะการซื้อ-ขายกองทุนรวมบางประเภท
ที่คิดอัตราค่าธรรมเนียมในระดับที่สูงเช่น กองทุนบริหารเชิงรุก (Active ) ที่อยู่เกือบร้อยละ 2
สูงกว่าค่าธรรมเนียมกองทุนแบบอิงดัชนี (Index Fund) อยู่ที่ร้อยละ
0.50 แต่ผลตอบแทนที่ได้กลับทำได้ไม่ดีเมื่อเทียบกับกองทุนอื่น
อีกทั้งบางรายยังไม่สามารถให้บริการด้านข้อมูลและการให้คำแนะนำกับลูกค้า ถือว่าไม่มีความเป็นธรรมในการให้บริการเมื่อเทียบกับอัตราค่าธรรมเนียมที่ลูกค้าจ่ายไป
“ก.ล.ต.
เห็นว่าผู้ประกอบการทั้งบล.และบลจ.ควรคิดค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขายที่เป็นธรรมกับลูกค้า
และพัฒนาการบริการให้มีคุณภาพมากขึ้น โดยที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก (Investor First) และขณะเดียวกันนักลงทุนต้องสนใจสอบถามว่าค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปจะได้บริการอะไรบ้าง”เลขาธิการก.ล.ต.กล่าว
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(ตลท.) กล่าวว่า
การจัดเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อ-ขายหลักทรัพย์และกองทุนรวมถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ประกอบการที่ให้บริการจัดเก็บกับลูกค้า
แต่ตลท.ต้องการพัฒนาระบบการซื้อขายกองทุนรวมครบวงจรโดยเป็นแพลตฟอร์มการซื้อ-ขาย
กองทุนรวมที่รวบรวม บลจ.และตัวแทนขายอยู่ในระบบเดียวกัน หรือ Fund Connect และมีการนำข้อมูลต่างๆใส่เข้าไปในระบบเพื่อทำให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น
และทำให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น
พร้อมกับทำให้ผู้ประกอบการในตลาดมีการแข่งขันกัน พัฒนาคุณภาพการบริการ
นอกจากนี้ในงานสัมมนา ยังเสนอผลงานการวิจัย ยอดเยี่ยมประจำปีเรื่องพฤติกรรมการลงทุนและลักษณะผลตอบแทนของกองทุนรวมหุ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นผลงานของ ผศ.ดร. คณิสร์ แสงโชติ และดร. รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น
พบว่ากองทุนรวมหุ้นที่มีค่าธรรมเนียมบริหารจัดการสูงมีแนวโน้มที่จะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาด
และผลการดำเนินงานที่ได้อาจไม่คุ้มกับค่าธรรมเนียม โดยพบว่ากองทุนรวมหุ้นในไทยส่วนใหญ่ไม่มีลักษณะเชิงรุกในการบริหารจัดการ
( Active) และได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับตลาดโดยรวมจึงมีข้อสังเกตว่าผู้ถือหน่วยลงทุนอาจได้รับประโยชน์มากกว่าหากลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน
( Passive) และกองทุนรวมหุ้นในไทยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ราคาตลาดต่อมูลค่าทางบัญชีที่สูงและเป็นหุ้นที่มีโมเมนตัมสูง
คือหุ้นที่มีผลตอบแทนในอนาคตในทิศทางเดียวกับผลตอบแทนในอดีต
แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ได้สูงเหมือนผลตอบแทนของหุ้นที่กองทุนเข้าซื้อ
ซึ่งสะท้อนว่ากองทุนอาจเป็นผู้เข้าซื้อหรือขายจนเป็นการไล่ราคาหุ้นแต่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
งานวิจัยยังสะท้อนว่าค่าธรรมเนียมเป็นข้อมูลสำคัญเพราะมีผลต่อผลตอบแทนของผู้ลงทุน
ดังนั้นผู้ลงทุนควรเปรียบเทียบอัตราค่าธรรมเนียมของแต่ละกองทุนและสามารถปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนเพื่อช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆเช่นนโยบายการลงทุนการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนเงื่อนไขการลงทุนและการถือครองหลักทรัพย์ของกองทุน
เพื่อให้มั่นใจว่าเหมาะสมกับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่รับได้ของผู้ลงทุน.-
สำนักข่าวไทย
