กรุงเทพฯ 5 มี.ค.-บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก
กรุ๊ป ประกาศกำไรสุทธิปี 2560 จำนวน
11,818 ล้านบาท เผยทิศทางปี 2561
เดินหน้าขยายการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนร้อยละ
30 ภายในปี 2569
นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป
เปิดเผยว่า ปี 2561 บริษัท ยังเน้นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญ
โดยขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ การบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
และการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดและภายใต้งบประมาณที่วางไว้
dารซื้อสินทรัพย์ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว
และการพัฒนาโครงการ Greenfield ทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
และการขยายการลงทุนในโครงการประเภทพลังงานหมุนเวียน
เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ร้อยละ 30 ภายในปี 2569
รวมทั้งการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในและต่างประเทศรวม
16 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น 876 เมกะวัตต์
หรือร้อยละ 20.56 ของกำลังการผลิตทั้งหมด
ปีนี้ เอ็กโก กรุ๊ป เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง
ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว และโรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” ประเทศฟิลิปปินส์
ซึ่งจะก่อสร้างเสร็จและทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2562 และ 2565 งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ปากแบง”
สปป.ลาว โรงไฟฟ้า “สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย
(หน่วยที่ 3 และ 4)” ประเทศอินโดนีเซีย
และโรงไฟฟ้า “กวางจิ” ประเทศเวียดนาม
สำหรับการลงทุนในประเทศไทย เอ็กโก กรุ๊ป
มีความพร้อมสำหรับการลงทุน
ตามนโยบายของภาครัฐและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่กำลังจะมีการปรับปรุงใหม่
โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดเล็กมาก (SPP และ VSPP) ประเภทพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งบริษัทฯอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมของการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก
(SPP) และมีความพร้อมที่จะขยายโครงการโรงไฟฟ้า IPP ในพื้นที่เดิม
ส่วนผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ปปี 2560 ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้
มีกำไรสุทธิ 11,818 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปี 2559 จำนวน 3,497 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42
โดยคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561
ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท
ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ เท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 7
บาท ซึ่งผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในปี 2560
ประกอบด้วยการบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้เสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ตามกำหนด
การขยายการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และการขายสินทรัพย์-สำนักข่าวไทย