กรุงเทพฯ 29 ก.ย.- SCB EIC ประเมินจีดีพีปี 68 โต 1.8% เฉพาะครึ่งปีหลังโตไม่ถึง 1% แม้รวมมาตรการ “คนละครึ่ง” แล้ว ชี้เงินบาทแข็งค่าใกล้วิกฤตต้มยำกุ้งปี 40 เอสเอ็มอีเปราะบาง นักศึกษาจบใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้น 17-18% เสนอรัฐฟื้นความเชื่อมั่น -กระตุ้นเศรษฐกิจ-ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ หลังไทยถูกลดความน่าเชื่อถือ คาด กนง.ลดดอกเบี้ยปีนี้อีก 1 ครั้ง
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3 ว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.8% และชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% และยังเสี่ยง Technical recession ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่อ่อนแรง หลังมีการเร่งส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนการขึ้นภาษี ขณะที่ตัวเลขล่าสุดเดือนสิงหาคม 2568 การส่งออกเริ่มติดลบ และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า
อีกปัจจัยที่ซ้ำเติมคือ ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงกันยายน แข็งขึ้นเกือบ 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 4 ปี และหากเทียบกับค่าเงินคู่ค้าคู่แข่ง พบว่าค่าเงินบาทแข็งสุดใกล้เคียงปี 2540 ที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนามที่อ่อนค่าลง 3% เท่ากับไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันประมาณ 10–11% กระทบทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว พร้อมมองเงินบาทในกรอบ 31.50-32.00 บาท/ดอลล่าร์ ในช่วงเดือนนี้ และกรอบ 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปี

ด้านการท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ติดลบเริ่มดีขึ้นจาก -16% ในเดือนกรกฎาคม เหลือ -10% ช่วงครึ่งแรกกันยายน แต่ยังถือว่าหดตัวอยู่ ส่วนเศรษฐกิจในประเทศยังถูกกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูง และความเปราะบางของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งรายได้และกำไรยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ฟื้นไปไกลแล้ว
ดร.ยรรยง ชี้ว่า ปัญหาตลาดแรงงานก็น่ากังวล โดยอัตราว่างงานในระบบประกันสังคมเกิน 2% และว่างงานในบัณฑิตจบใหม่พุ่งแตะ 17–18% เสี่ยงทำให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่เศรษฐกิจนอกระบบ (informal economy) มากขึ้น
สำหรับนโยบายการเงิน SCB EIC คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ เหลือ 1.25% และอีก 1 ครั้งในต้นปีหน้าเหลือ 1% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงเครดิต หากเศรษฐกิจชะลอเกินคาดหรือเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องเปิดช่องให้ลดได้อีก ขณะเดียวกันควรเสริมมาตรการด้านสินเชื่อเพื่อช่วย SME ปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยเฉพาะการลงทุนสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล

ขณะที่ด้านการคลัง ประเด็นใหญ่คือความกังวลที่ Moody’s และ Ficth ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือไทยจาก “คงที่” เป็น “เชิงลบ” โดยอ้างถึงการเติบโตต่ำและฐานะการคลังเปราะบาง หนี้สาธารณะเพิ่มต่อเนื่อง ดังนั้นรัฐบาลใหม่ควรเดินหน้า 3 ภารกิจหลักคือ
1.)Stabilize เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนมา หลังเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายในกลายมิติ โดยต้องเน้นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและประบวนการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ
2.)Stimulate เพื่อกระตุ้นอุปสงค์เศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง โดยเน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ตลอดจนการเร่งรัดการเบิกจ่าย เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับเศรษฐกิจ ควบคู่กับผ่อนคลายภาระการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs และการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนกระทบต่อภาคส่งออก
3.)Structural reform ด้วยการยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การจัดหาตลาดส่งออกใหม่และการผลักดันการลงทุน Green transformation ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านการวางกรอบนโยบาย ส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตของประเทศ การพัฒนาทักษะของแรงงานและการปฏิรูปการคลัง
ดร.ยรรยง กล่าวเพิ่มเติมถึงมาตรการ “คนละครึ่ง” ว่าแม้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้บ้าง และออกทันเวลาพอดี แต่ผลต่อจีดีพีมีจำกัด เช่นเดียวกับมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนที่ยังต้องเร่งเดินหน้า โดยเฉพาะสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วย SMEs ปรับตัว นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือการเร่งเบิกจ่ายภาครัฐ เนื่องจากช่วงหลังการเบิกจ่ายและการลงทุนภาครัฐมีทิศทางชะลอตัว ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นงบประมาณปีใหม่ในเดือนตุลาคม ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งในการเร่งรัดเบิกจ่าย ไม่ว่าจะเป็นงบประจำ หรืองบ 1.5 แสนล้านบาทที่เพิ่งจัดสรร เพราะหากสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ทัน จะช่วยเสริมแรงขับเคลื่อน (momentum) ทางเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนกรณีที่สหรัฐฯประกาศ specific tariff เก็บภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีแบรนด์หรือจดสิทธิบัตรที่เริ่ม 1 ต.ค.นี้ ประเมินว่ากระทบต่อการส่งออกของไทยเพียง 1-2% และอาจไม่รุนแรงมากนัก แต่ยังคงเป็นสัญญาณเตือนว่าความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องติดตามคู่ค้าและคู่แข่งอย่างใกล้ชิดต่อไป
พร้อมชี้ว่า ความเชื่อมั่นเป็นกุญแจสำคัญ รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายชัดเจน เดินหน้าเชิงรุก มีการสื่อสารต่อเนื่อง เช่น การเปิดเผยแดชบอร์ดเศรษฐกิจรายสัปดาห์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกภาคส่วน แม้เศรษฐกิจปีนี้และปีหน้าจะเผชิญความท้าทายหนัก แต่หากจัดการปัญหาการส่งออกและท่องเที่ยวได้ มีโอกาสเห็นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นในปี 2570 เป็นต้นไป-516-สำนักข่าวไทย