กรุงเทพฯ 24 ก.ย.- กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เสนอรัฐบาลเร่งหามาตรส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน – ประบปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษีลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก และปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาด คาดปี 2571 สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะเริ่มดีขึ้น
สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดเสวนา “อุตสาหกรรมพลาสติกไทย-ปิโตรเคมี ได้หรือเสีย…จากภาษีทรัมป์ ภายใต้โครงการ Econmass Talk Ep.1 #2025 เพื่อสะท้อนปัญหาและความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจากภาษีทรัมป์
นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. กล่าวว่า อุตสาหกรรมพลาสติกไทยกำลังเผชิญทั้งความความท้าทายและโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกีดกันทางการค้า การเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนการผลิต ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัวเชิงรุก พร้อมระบุการสนับสนุนเชิงนโยบายจากภาครัฐจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาขีดความสามารถการแข่งขัน พร้อมทั้งผลักดันให้ อุตสาหกรรมรีไซเคิล กลายเป็น New S-Curve ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบด้านราคา สูญเสียส่วนแบ่งตลาด และต้นทุนการผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเกิด Trade Diversion จากประเทศอื่นที่หันมาระบายสินค้าในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ทำให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงยิ่งขึ้น


“ผลิตภัณฑ์พลาสติกไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมปลายทาง แต่คือโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตในทุกมิติ หากปิโตรเคมีและพลาสติกของไทยไม่แข็งแรง การพัฒนาอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศก็จะเดินต่อไปได้ยาก แม้ว่าไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ยังคงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่สำคัญของภูมิภาค ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม และคุณภาพสินค้าที่เชื่อถือได้ ทำให้ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขันและดึงดูดความเชื่อมั่นจากตลาดโลก” นายฐิติธัม กล่าว
พร้อมเสนอรัฐบาลช่วยเหลือใน 4 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1. ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศให้เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน 2. ปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษี ช่วยลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก 3. ปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาด เพื่อรักษาความเป็นธรรมในการแข่งขัน และ 4. สร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกครบวงจร
นายเดชาธร ฐิสิฐสกร คณะทำงานสายเศรษฐกิจและการค้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ส.อ.ท. กล่าวว่า สถานการณ์การค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และต้องเผชิญปัญหาความท้าทายเช่นเดียวกัน สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19% ซึ่งยังไม่นับรวมอัตราภาษีเดิมอีก 5% เมื่อรวมแล้วสินค้าส่งที่ไปจำหน่ายในสหรัฐฯ จะเสียภาษีในอัตรา 24% ขณะที่สินค้าพลาสติกและปิโตรเคมี ประเทศคู่แข่งของไทยอัตราภาษีต่ำกว่าไทย ดังนั้นไทยต้องเร่งปรับตัว ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม รวมถึงหาตลาดส่งออกใหม่ๆ ทั้งนี้มองว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในส่วนของประเทศไทยเริ่มองเห็นปลายทาง เนื่องจากปัญหาโอเวอร์ซัพพลายเริ่มคลี่คลาย โดยเชื่อว่าในปี 2028 สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะดีขึ้น
นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP พลาสติก กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจสีเขียว เช่นเดียวกับไทย ที่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจคัดแยกและกำจัดขยะ แล้วนำมารีไซเคิลได้อย่างถูกต้อง หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ถือเป็นโอกาสทำเงินได้ เนื่องจากปัจจุบันปริมาณขยะในประเทศไทยมีมากกว่า 3 ล้านตันต่อปี แต่การกำจัดขยะแล้วนำมารีไซเคิลอย่างถูกต้องตามกฎหมายมีเพียง 50,000 ตันต่อปี ซึ่งในอนาคตจะมีมาตรการบังคับด้วยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมความรับผิดชอบของผู้ผลิต เพื่อรองรับมาตรการปรับราคาคาร์บอน ก่อนย้ายพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และในอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่กำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของธุรกิจรีไซเคิล -517-สำนักข่าวไทย