กรุงเทพฯ 3 ส.ค.- นักวิชาการมอง ดีลภาษีนำเข้าสหรัฐ 19% เป็นเพียงการโล่งใจชั่วคราว เนื่องจากอัตราภาษีเกาะกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตในระยะใกล้ แต่ไม่ได้ช่วยซัพพลายเชน
รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวถึง ดีลภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐฯ ที่ทีมไทยแลนด์ยื่นข้อเสนอในการเจรจาและสามารถบรรลุขข้อตกลงอัตราภาษีที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ว่า จากดีลนี้สามารถมองเห็นประโยชน์ หรือแต้มต่อของไทยในระยะสั้น ที่ไม่ทำให้เกิด Trade diversion (การย้ายฐานผลิต) เนื่องจากแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนถูกคิดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตราใกล้เคียงกันที่ 19-20% แต่ขณะเดียวกันอย่าลืมว่าภาษี 19% ที่สหรัฐเก็บกับสินค้าไทยนั้นจะทำให้ผู้ส่งออกประสบปัญหาส่งออกลำบาก ต้นทุนสูงขึ้น ผู้ส่งออกไทยต้องไปเจรจากับผู้นำเข้า ซึ่งมีอำนาจต่อรองมากกว่าจากอัตราภาษีที่สูงใกล้เคียงกันทั่วโลก และหากผู้ส่งออกต้องลดราคาสินค้าเพื่อให้ขายได้ปริมาณมากแต่กลับมีมาร์จิ้นน้อยลง ที่สำคัญเมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีในอัตราเฉลี่ย 15-20% ก็จะทำให้เกิดการย้ายฐานผลิตไปยังสหรัฐฯ เพื่อผลิตสินค้าขายในสหรัฐและส่งออกไปประเทศต่างๆทั่วโลก ด้วยอัตราภาษี 0% ที่ทั่วโลกเปิดตลาดให้สหรัฐ ซึ่งต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมีหลายรายที่เป็นกลุ่มบริษัทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงจีน หากจะย้ายฐานก็จะไปกันทั้งหมด ดังนั้นในอนาคตคู่แข่งทางการค้าของไทยจึงไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนเท่านั้น หากแต่เป็นผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นมากมายในอนาคต จากข้อแลกเปลี่ยนของประเทศต่างๆ ที่ต้องไปลงทุนในสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น ต้องไปลงทุนในสหรัฐฯ 5.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลีใต้ต้องลงทุน 3.5 แสนล้านเหียญสหรัฐ อียู ต้องไปลงทุนอย่างน้อย 6 แสนล้านเหรียญ เป็นต้น
“ดังนั้น การที่ไทยได้ภาษีแค่ 19% จึงเป็นเพียงการโล่งใจ ไม่ใช่น่าจะมาดีใจกันเยอะแยะมากมายอย่างที่เห็นแสดงความยินดีกันในขณะนี้ คุณแค่โล่งใจที่ไม่เกิด Trede diversion เพราะอัตราภาษีใกล้เคียงกัน แต่คุณต้องเจอปัญหา supply site ต้นทุนสูง และไม่ได้แข่งขันเฉพาะกับบริษัทที่ส่งสินค้าเข้าสหรัฐเท่านั้น แต่ยังจะต้องแข่งกับอุตสาหกรรมที่จะงอกเงยขึ้นในสหรัฐด้วย” ดร.สมภพ กล่าว -517 -สำนักข่าวไทย