กรุงเทพฯ 29 ก.ค.- ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตามการเร่งนำเข้าสินค้าของคู่ค้าต่างประเทศ ก่อนการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ลุ้นสหรัฐประกาศภาษีไทย หวังอัตราต่ำลง แต่หาก 36% ส่งออกไทยปี 68 เหลือขยายตัว 0.5-1.5%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า เดือนมิ.ย.68 ดัชนีราคาส่งออกเท่ากับ 111.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่อง ร้อยละ 0.7 (YoY) และดัชนีราคานำเข้าของไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.4 (YoY) เป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเร่งสต๊อกสินค้าของประเทศคู่ค้า ก่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบกับการนำเข้าสินค้ายังขยายตัวต่อเนื่องเพื่อนำมาผลิตก่อนส่งออกเพิ่มขึ้น และรองรับการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยในขณะนี้จับตาไปที่สหรัฐจะประกาศภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราใด ซึ่งคาดหวังจะต่ำกว่า 36%
สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้า ไตรมาสที่ 3/68 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1) ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 2) สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI และ Data Center รวมถึงอุตสาหกรรม EV ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก และ 3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงนโยบายของหลายประเทศที่มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูง 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และ 5) เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดของภาคการส่งออกไทย
สนค.ยังได้ประเมินหากไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 68 จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะภาษีไทยจะสูงกว่าหลายประเทศในเอเชียที่เจรจาจบแล้ว ที่สำคัญสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 โดยปี 67 มีสัดส่วนส่งออกถึง 18% ของมูลค่าส่งออกไทยไปโลก หากการส่งออกชะลอตัว จะทำให้ภาคการผลิต ห่วงโซ่การผลิตทั้งหมด ทั้งสินค้าขั้นต้น ขั้นกลาง และสินค้าสำเร็จรูป ลดลงด้วย และ จะทำให้การส่งออกไทยปี 68 เหลือขยายตัว 0.5 – 1.5% เทียบกับปี 67 มีค่ากลางที่ 1.0% จากเดิมที่คาดขยายตัว 2-3% คิดเป็นมูลค่าที่ลดลง 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 153,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ กำแพงภาษีสหรัฐฯ จะทำให้ทุกประเทศทั่วโลกเร่งหาตลาดส่งออกอื่นทดแทน ทำให้สินค้าของทุกประเทศเข้าไปแข่งขันในตลาดที่ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่แล้ว หรือตลาดใหม่ๆ ที่ไทยพยายามจะเข้าไป ขณะที่หลายประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น และลดการนำเข้าสินค้าไทย ขณะเดียวกัน นักลงทุนอาจย้ายฐานผลิตหรือกระจายการผลิตไปประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ต่ำ เพื่อกระจายความเสี่ยงในระยะกลางและยาว ส่วนระยะสั้นอาจชะลอลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐฯ หรืออยู่ในห่วงการผลิตที่เกี่ยวข้อง. -511- สำนักข่าวไทย