กรุงเทพฯ 30 มิ.ย. – ธปท. เผยเศรษฐกิจไทย พ.ค.68 ชะลอลงต่อเนื่องถึง มิ.ย.68 หลังตัวเลขนักท่องเที่ยว-ภาคการผลิตอุตฯ ชะลอ เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 1/68 ลดลงแตะ 87.4% จับตาเจรจาภาษีกับสหรัฐ ยันเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องสกุลเงินอื่นในภูมิภาค พร้อมดูแลหากผันผวน
นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนพฤษภาคม 2568 ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการด้านการค้าการขนส่ง และการท่องเที่ยว โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง เนื่องจากบางส่วนเร่งผลิตเพื่อเติมสินค้าคงคลังไปแล้วในเดือนก่อน ประกอบกับมีปัจจัยชั่วคราวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมัน
ขณะที่รายรับการท่องเที่ยวลดลง ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 2.9% โดยเฉพาะกลุ่มเดินทางระยะไกล (long-haul) ที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูง ด้านการลงทุนภาคเอกชนลดลง 0.6% หลังเร่งไปในเดือนก่อน ส่วนการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.2% โดยหมวดสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ หมวดบริการปรับลดลง
สำหรับการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก 18.5% โดยเฉพาะหมวดอิเล็กทรอนิกส์ตามอุปสงค์โลกที่ดีต่อเนื่อง และการเร่งส่งออกในช่วงระยะผ่อนผันการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐหดตัว 18.9% จากทั้งรายจ่ายประจำและลงทุนของ รัฐบาลกลางจากผลของฐานสูงในปีก่อนที่มีการเร่งเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เดือน พ.ค. ติดลบเพิ่มขึ้นที่ -0.57% จาก -0.22% ในเดือนก่อนหน้า จากหมวดอาหารสด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังปรับเพิ่มขึ้นตามราคาอาหารสำเร็จรูป สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุล ขณะที่ดุลบริการรายได้และเงินโอนขาดทุนจากการส่งกลับกำไรของธุรกิจต่างชาติตามฤดูกาลด้านตลาดแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นจากเดือนก่อนตามการจ้างงานในภาคการผลิตเป็นสำคัญ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 68 มีแนวโน้มที่จะชะลอลง จากตัวเลขของนักท่องเที่ยว ที่เริ่มเห็นทิศทางที่ชะลอลง และภาคการส่งออกที่เริ่มผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวน้อยลงในระยะต่อไป โดยมี 4 ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ 1. นโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก 2. พัฒนาการของภาคการท่องเที่ยว 3. การปรับตัวของภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้นและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และ 4. ปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
นอกจากนี้ ธปท. ยังรายงานตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 87.4% ลดลงจาก 88.4% ในไตมาส ที่ 4 ปี 2567 เป็นผลมาจาก GDP ที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงยอดการปล่อยสินเชื่อที่ลดลง
ส่วนกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่าเงินบาทแข็งค่าเกินไปนั้น โดย ธปท. มองว่าเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเกิดจากเงินดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากคนเทขายดอลลาร์ แล้วไปถือสินทรัพย์อย่างอื่น และยอมรับว่าปัจจัยการเมืองในประเทศมีผลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ธปท.จะจับตาอย่างใกล้ชิด และพร้อมเข้าดูแลค่าเงินบาทเมื่อเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน.-516-สำนักข่าวไทย