กรุงเทพฯ 30 มิ.ย. – Virtual Bank : ทางเลือกใหม่ในยุคดิจิทัล กำลังเปลี่ยนเกมการเงิน หลังคลัง-ธปท.ออกใบอนุญาต 3 กลุ่มทุนใหญ่ กระโดดเข้าวงการเงิน ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน-เว็บไซต์
สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เผยแพร่บทความ ธนาคารไร้สาขา Virtual Bank : ทางเลือกใหม่ในยุคดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนเกมการเงิน นับว่า ในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วน ธุรกรรมการเงิน ธนาคารพาณิชย์กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบบริการ จากเดิมต้องไปทำธุรกรรมที่สาขา กลายเป็นธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายและรวดเร็วของผู้บริโภค โดยไม่จำเป็นต้องมีสาขาทางกายภาพ แต่ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือเว็บไซต์ บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับธนาคารไร้สาขา แนวโน้มการเติบโต บริการที่น่าสนใจ รวมถึงความท้าทายในอนาคต
จุดเริ่มต้นของแนวคิด Virtual Bank มาจากความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และความสามารถในการควบคุมการเงินของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ ด้วยเหตุนี้ ผู้ให้บริการด้านการเงินจึงเริ่มพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถให้บริการที่หลากหลาย เช่น การเปิดบัญชี การโอนเงิน การขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การลงทุน ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และระบบบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวในการให้บริการ

จากข้อมูลปัจจุบันพบว่าการเติบโตของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาในต่างประเทศ สามารถเจาะตลาดลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม กรณีของสหราชอาณาจักร พบว่ามีผู้ใช้บริการผ่านธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา เช่น Monzo และ Starling Bank เกือบร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมดในประเทศภายหลังจากการเปิดตัวเพียงไม่กี่ปี เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดถึงการเติบโตของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา โดย Monzo มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 11 ล้านคน และ Starling Bank มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 4.2 ล้านคนในปัจจุบัน และทั้งสองธนาคารยังคงมีการขยายตัวที่รวดเร็วในตลาดต่าง ๆ เพื่อรองรับลูกค้าที่มีพฤติกรรมที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่น ตอบสนองพฤติกรรมและรูปแบบการจ่ายเงิน รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ทางการเงินและการวางแผนการออมรายย่อย อีกจุดเด่นที่สำคัญ พบว่าแอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ยังมีบริการ Marketplace ของธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา หรือสามารถเชื่อมโยงตรงกับบริการแอปพลิเคชันอื่นๆ เช่น Shopping online หรือ Social Media ที่ได้รับความนิยม เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ลูกค้านำคะแนนเครดิตไปใช้ชำระหนึ้ รับเงินคืนอัตโนมัติ หรือตรวจสอบธุรกรรมการซื้อของย้อนหลังผ่านแอปพลิเคชันธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา
นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาขยายตัวที่รวดเร็ว คือ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นของประชาชน แต่ยังคงมีปัญหาของผู้บริโภค และกลุ่มธุรกิจ SMEs ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ หรือยังไม่ได้รับบริการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการขาดแคลนสาขาธนาคารในหลายพื้นที่ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาที่ประสบความสำเร็จในประเทศจีน ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 1 ของโลก อย่าง WeBank และ MyBank ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาของบริษัท Tencent และ Alibaba ตามลำดับ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากมี Ecosystem ที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มของบริษัทแม่ อาทิ แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก WeChat และอีคอมเมิร์ซชั้นนำอย่าง Alibaba ทำให้ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาทั้ง 2 มีฐานข้อมูลเชิงพฤติกรรมขนาดใหญ่ ประกอบกับการใช้เทคโนโลยีควบคู่กันของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ระบบคลาวด์ (Cloud Computing) และบล็อกเชน (Blockchain) สามารถรองรับลูกค้าจำนวนมากได้ และประเมินความสามารถในการชำระหนี้และให้บริการสินเชื่อได้รวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้ต้นทุนในการดำเนินกิจการต่ำ และขยายธุรกิจได้เร็ว
Virtual Bank ไม่ได้มีดีแค่เรื่องความสะดวก แต่ยังมีข้อได้เปรียบทางธุรกิจที่น่าสนใจอีกด้วย เนื่องจากไม่มีต้นทุนคงที่จากการเปิดสาขาหรือจ้างพนักงานจำนวนมาก ธนาคารเหล่านี้จึงสามารถเสนอค่าธรรมเนียมที่ต่ำ หรือไม่มีเลย พร้อมกับให้อัตราดอกเบี้ยที่จูงใจกว่าธนาคารทั่วไป ตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ยเงินฝากของ Virtual Bank บางแห่งในอังกฤษอาจสูงถึง 2-3% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารดั้งเดิมที่อยู่ราว 0.5-1% ต่อปี นอกจากนี้ กระบวนการอนุมัติสินเชื่อก็ทำได้รวดเร็ว โดยใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงแทนการตรวจสอบเอกสารแบบเดิม

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Virtual Bank ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นคือเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล เพราะการให้บริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมดหมายความว่า หากมีช่องโหว่หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในวงกว้างได้ ขณะเดียวกัน การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมการเงินก็ทำให้ Virtual Bank บางแห่งต้องปิดตัวลง เช่น VOLT Bank ในออสเตรเลียที่ยุติการดำเนินงานในปี 2022 เนื่องจากไม่สามารถระดมทุนเพิ่มเติมได้ หรือ Bó จากสหรัฐฯ ที่ไม่สามารถดึงดูดลูกค้าได้เพียงพอและต้องปิดตัวภายในไม่ถึงปี
สำหรับพัฒนาการ Virtual Bank ของไทยนั้น เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้ง Virtual Bank อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบการเงินของประเทศให้ทันสมัย เข้าถึงง่าย และเท่าเทียมยิ่งขึ้น โดยมีผู้ผ่านการพิจารณาทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่
1) บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด
2) กลุ่มธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)
3) กลุ่มบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp.
โดยทั้ง 3 กลุ่มมีเวลา 1 ปีในการเตรียมการจัดตั้งและเปิดให้บริการแก่ประชาชน โดยการจัดตั้ง Virtual Bank ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการเงิน เช่น ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs), กลุ่มรายได้น้อย, และผู้ไม่มีรายได้ประจำ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดบริการทางการเงินที่หลากหลาย ทันสมัย และเหมาะสมยิ่งขึ้น ด้วยความหวังใหม่ของภาคการเงินไทยกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในระบบสถาบันการเงิน Virtual Bank จะมีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการ และช่วยยกระดับความเท่าเทียมทางการเงินของประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับประชาชนที่สนใจข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับการคุ้มครองเงินฝากสามารถติดตามได้ที่ เว็บไซต์ www.dpa.or.th หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย Facebook, YouTube, X, Line, LinkedIn เพียงกดค้นหา dpathailand หรือโทรสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลคุ้มครองเงินฝาก (DPA Contact Center) 1158.-515- สำนักข่าวไทย