กรุงเทพฯ 27 มิ.ย.-กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ก.พาณิชย์ เร่งตรวจสอบกรณีข้าวจากกัมพูชาวางจำหน่ายในจีน แอบอ้างเป็นข้าวหอมมะลิไทย เตรียมหารือหน่วยงานกำกับดูแลและแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีน พร้อมประชาสัมพันธ์ตรารับรองแท้ หวั่นกระทบภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในตลาดต่างประเทศ
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมฯ ได้รับแจ้งจากคนไทยในประเทศจีนว่ามีการจำหน่ายข้าวที่ผลิตจากประเทศกัมพูชาในซูเปอร์มาร์เก็ตจีน โดยใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีธงชาติไทยและตราสัญลักษณ์คล้ายกับตรารับรองข้าวหอมมะลิไทยของกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาพรวงข้าวบนพื้นหลังสีเขียว ทำให้เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดของผู้บริโภค
จากการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ ประเทศจีน ทั้งในช่องทางออฟไลน์และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Taobao JD.com และ Pinduoduo พบว่าข้าวที่วางจำหน่ายส่วนใหญ่มาจากกัมพูชา แม้จะมีการแสดงข้อความเป็นภาษาจีนว่า “ข้าวหอมมะลิกัมพูชา” แต่บางยี่ห้อใช้ภาษาไทยระบุว่า “ข้าวหอมมะลิไทย” หรือ “ข้าวหอมมะลิกัมพูชา” ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นข้าวไทยจริง
กรมฯ จึงได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทั้ง 7 แห่งในจีน ได้แก่ เฉิงตู คุนหมิง หนานหนิง กวางโจว เซี่ยเหมิน เซี่ยงไฮ้ และชิงต่าว ดำเนินการเร่งด่วนใน 4 แนวทางหลัก ได้แก่
1.หารือกับผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิไทยและแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อระงับการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ไม่ถูกต้อง พร้อมแก้ไขให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
2.ประชาสัมพันธ์ตรารับรองข้าวหอมมะลิไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน โดยย้ำว่า ตราที่ถูกต้องคือลักษณะ “รวงข้าวบนพื้นสีเขียว” ซึ่งออกโดยกรมการค้าต่างประเทศ
3.ประสานสำนักพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลสินค้าในจีน ได้แก่ SAMR (State Administration for Market Regulation) เพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
4.พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด ในประเด็นโฆษณาเกินจริง ละเมิดสิทธิผู้บริโภค และฝ่าฝืนกฎหมายคุณภาพสินค้า โดยร่วมมือกับสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานท้องถิ่นของจีน
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยืนยันจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเดินหน้าความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อปกป้องชื่อเสียงข้าวหอมมะลิไทย ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ และรักษาความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในตลาดโลก.-512.-สำนักข่าวไทย