กรุงเทพฯ 25 มิ.ย. – สภาผู้ส่งออกวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านการส่งออก หากสงครามตะวันออกกลางปะทุ เตือนผู้ส่งออกและรัฐบาล หาทางออกหากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด กระทบตลาดตะวันออกกลาง ราคาพลังงานและสินค้าเกษตรต้นทุนพุ่ง
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก กล่าวว่า สภาฯ จับตาปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางแม้ว่า อิหร่าน-อิสราเอล มีข้อตกลงหยุดยิงออกมา แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องโดยเฉพาะผลกระทบจากการขนส่งสินค้า ทั้งนี้ ช่องแคบฮอร์มุซ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลก คิดเป็น ช่องทางที่ส่งออกน้ำมันราว 20% ของความต้องการของโลก แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก โดยในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย โดยนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เท่ากับ 28% ซาอุดิอาระเบีย 20% กาตาร์ 7% คูเวต 2%
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีการนำเข้าปุ๋ยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคการเกษตรจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% จากมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็น ซาอุดีอาระเบีย 27.71% กาตาร์ 3.67% จอร์แดน 3.48% โอมาน 3.41% และบาห์เรน 2.3% ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้มีความเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงาน ต้นทุน ราคาพลังงาน พุ่งสูง ขึ้น รวมถึงสินค้าเกษตรของไทยพุ่งสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อทั้งค่าครองชีพของผู้บริโภคในประเทศ และคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในตลาดโลก
อนึ่ง ภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ถือเป็นตลาดที่สำคัญต่อประเทศไทย โดยมีสัดส่วนส่งออกของไทย ในปี 2567 เท่ากับ 3.5% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ตัวอย่างสินค้าที่เริ่มชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นได้แก่ ข้าว ไก่ ยางพารา อาหาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่สินค้ายานยนต์จะได้รับผลกระทบจากการปิดช่องแคบฮอร์มุซในวงจำกัดเพราะสามารถขนส่งผ่านท่าเรือเจดดาห์และท่าเรืออื่นในทะเลแดง
ด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เบื้องต้น สรท. ประเมินไว้ว่าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ท่าเรือหลักในอ่าวเปอร์เซีย อาทิ Jabel Ali , Doha, Dammam มีโอกาสที่จะถูกปิด รวมถึงโครงข่ายการให้บริการโดยเรือ Feeder อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และจะกระทบส่งออกไปทุกประเทศในอ่าวเปอร์เซียทั้งหมด
โดยข้อมูลจากนักวิเคราะห์ (Linerlytica) ระบุว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบต่อปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ที่ราว 3.4% ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก หรือคิดเป็น 21 ล้าน TEU จากปริมาณตู้ทั้งหมดจำนวน 33.2 ล้าน TEU ซึ่งหมุนเวียนในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด ขณะที่ท่าเรือของอิหร่านเองก็ต้องพึ่งพาเส้นทางดังกล่าวเพื่อขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 2.5 ล้าน TEU เช่นกัน ซึ่งรวมถึงสินค้าที่ถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่นผ่านท่าเรือของ UAE ด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้
1) เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน โดยควรพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน / เพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สองทาง ,นับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียน , เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น
2) บริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah Port (Saudi Arabia), Salalah Port (Oman) เป็นต้น และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง ด้วยการทำ Inland Transport โดยตรวจสอบว่าผู้นำเข้าสามารถเดินพิธีการทางศุลกากรเพื่อนำสินค้าจากท่าเรืออื่นนั้นได้หรือไม่ หรือสายเรือ/ผู้ให้บริการมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อวางแผนล่วงหน้ากรณีสถานการณ์เป็นไปในทิศทางลบมากขึ้น
นอกจากนี้ต้องพิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น ,ต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเวปไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.-511- สำนักข่าวไทย