กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – หุ้นไทย บวกแรงตามหุ้นเอเชีย และดาวโจนส์ล่วงหน้า ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ-ทองคำร่วง รับข่าวดีของโลก อิสราเอลและอิหร่านเจรจาหยุดยิง ด้านกระทรวงพลังงานยังไม่วางใจ เตรียมนัดผู้ค้า-โรงกลั่นฯ ร่วมมือ เพิ่มสำรองน้ำมัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หุ้นไทยปิดช่วงเช้าวันนี้ 1,086.32 จุด เพิ่มขึ้น 23.54 จุด (+2.21%) มูลค่าซื้อขายราว 29,823 ล้านบาท และช่วงบ่ายยังขึ้นต่อเนื่องช่วงเวลา 15.18 น. บวกขึ้นกว่า 26 จุด
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บล. โกลเบล็ก เปิดเผยว่า รีบาวด์ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย และตลาดล่วงหน้าของสหรัฐ ตอบรับข่าวประธานาธิบดีสหรัฐประกาศว่าอิสราเอลและอิหร่านเจรจาหยุดยิง ในขณะที่สถานีโทรทัศน์เพรส ทีวีของอิหร่านรายงานในวันอังคาร (24 มิ.ย.) ว่า อิหร่านและอิสราเอลได้เริ่มการหยุดยิงแล้ว หลังจากทั้งสองฝ่ายใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีกันเป็นเวลานาน 12 วัน ทำให้ตลาดคลายกังวลในระยะสั้นกับปัจจัยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริม จาก ครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเม็ดเงินงบประมาณกว่า 1.15 แสนล้านบาท
นายสุวัฒน์ กล่าวว่า สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางมีแนวโน้มดีขึ้น เพราะสหรัฐฯ กลัวน้ำมันดิบขึ้นราคามาก เห็นได้จากทันทีที่อิหร่านขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ สหรัฐก็รีบไปเรียกร้องให้จีนเข้ามาช่วยเจรจา และเรียกร้องให้ผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ เพิ่มกำลังการผลิต และปล่อยข่าวว่าเจรจากับอิหร่านสำเร็จ จึงทำให้ในวันนี้น้ำมันดิบราคาร่วงลงกว่า 2% ทั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีข้อจำกัดในด้านราคาน้ำ หากราคาสูงขึ้นมากก็จะไปกระทบเงินเฟ้อ อาจทำให้ดอกเบี้ยปรับขึ้น เป็นสัญญาณหายนะของเงินดอลลาร์ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้สหรัฐฯ ต้องชะลอการขยายตัวของสงคราม นอกจากนี้ อิหร่านก็ไม่อยากรบกับสหรัฐฯ แม้มองว่าจะได้เปรียบในการสู้รบกับอิสราเอล
“โลกการลงทุนกำลังจะกลับเข้าสู่สภาวะเดิม หากตะวันออกกลางสงบ จริงๆ ซึ่งต้องตามดูกันต่อไป แต่ที่ต้องเดินหน้า คือ รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ต่อไปอย่างไร โดยมองว่าสหรัฐฯ น่าจะยืดระยะเวลาการขึ้นภาษีออกไป เพราะเวลาที่เหลือไม่สามารถเจรจากับประเทศต่าง ๆ ได้ทันอย่างแน่นอน จากที่มาตรการหยุดเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีระยะเวลา 90 วัน กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้” นายสุวัฒน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข่าวดีกรณีหยุดยิงในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงกว่า 2% ราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวต่ำกว่า 67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ราคาทองคำสหรัฐเคลื่อนไหวระหว่างวันลดลง 1.5% ร่วงลงกว่า 50 ดอลลาร์ อยู่ที่ระดับ 3,327 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำในไทย สมาคมค้าทองคำรายงานถึงเวลา 15.21 น.วันนี้ ราคาเปลี่ยนแปลง 17 ครั้ง โดยเปิดตลาดครั้งแรกราคาปรับลด 550 บาท ส่วนเวลา 15.21 น. ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 51,550 บาท ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 52,350 บาท ลดลงจากวานนี้ 1,000 บาท/บาททองคำ ในขณะที่เงินบาทแข็งค่า เคลื่อนไหว ที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ จากวานนี้ เคลื่อนไหว 33.02 บาท/ดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 32.70-33.03 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังหนึ่งในคณะกรรมการ FOMC ของเฟด Michelle Bowman (Board of Governors) ที่มักจะให้ความเห็นในเชิง Hawkish ได้ให้ความเห็น อาจสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนกรกฎาคม (ซึ่งเรียกได้ว่า ความเห็นดังกล่าว มีความ Dovish พอสมควร เมื่อเทียบกับแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดจาก Dot Plot ล่าสุด) ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ เกิน 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ดูทยอยคลี่คลายลง หลังการโจมตีตอบโต้สหรัฐฯ จากอิหร่านไม่ได้รุนแรงอย่างที่ตลาดกังวล และการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามจังหวะการย่อตัวเข้าสู่โซนแนวรับของราคาทองคำ หลังไร้แรงหนุนจากปัจจัยความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk)
ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงฯ มอนิเตอร์สถานการณ์ตะวันออกกลาง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีที่ สถานการณ์คลี่คลาย ราคาน้ำมันลดลง อย่างไรก็ตามยังวางใจไม่ได้ โดยในสัปดาห์นี้ ทางกรมธุรกิจพลังงาน จะเรียกผู้ค้าน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมันมาหารือขอบความร่วมมือ เพิ่มสำรองน้ำมันของประเทศ ซึ่งหากเกิดปัญหาใดใด ที่ไม่คาดคิด จะได้อุ่นใจว่ามีสำรองน้ำมันที่เพียงพอ ไม่ขาดแคลน โดยปัจจุบันนี้ แม้สำรองมีอยู่ในระดับหนึ่งแล้วแต่ก็ต้องเตรียมมาตรการเพิ่มเติมในกรณีที่สงครามหากปะทุขึ้นมาอีก
ปัจจุบันประเทศไทยมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,104 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 23 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,597 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,886 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 17 วัน รวมปริมาณน้ำมันคงเหลือที่สามารถใช้ได้ 60 วัน. -511- สำนักข่าวไทย