กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – หอการค้าภาคตะวันออก หวังปิดด่าน “ไทย-กัมพูชา” ไม่นาน แม้การค้าจะกระทบน้อย แต่ประชาชน 2 ฝั่งก็ได้รับผลกระทบ ส่วนการส่งออกทุกเรียนไปจีน ปรับตัวขนส่งทางเรือแทนผ่านทางรถผ่านกัมพูชา
นายวิรัตน์ ศิริสกุลงาม ประธานหอการค้าภาคตะวันออก กล่าวว่า หอการค้าได้ติดตามสถานการณ์ผลกระทบความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และการปิดทุกด่านล่าสุด แน่นอนว่าการค้าระหว่างกัน และประชาชนทั้ง 2 ฝั่งได้รับผลกระทบเดือดร้อนอย่างแน่นอน แต่จะมากน้อยแค่ไหนรอประเมินสถานการณ์อีก 5 วัน โดยประชาชนและนักธุรกิจ คาดหวังให้รัฐบาล 2 ประเทศ หารือและยุติความขัดแย้งโดยเร็ว ซึ่งจุดผ่านแดนที่มีการค้าขายมากสุดก็คือ ด้านจังหวัดสะแก้ว โดยการค้าราว ร้อยละ 30 เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคอีก ร้อยละ 70 เป็นอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และอื่นๆ โดยการค้ากับกัมพูชา แม้มีมูลค่าไม่มากนัก แต่ก็อยากเห็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
ส่วนการส่งออกทุเรียนไปจีน เดิมใช้เส้นทางขนส่งผ่านกัมพูชา- เวียดนาม ทางรถยนต์ แล้วไปยังจีนนั้น ในขณะนี้ผู้ส่งออกก็ปรับตัวโดยการประสานงานช่วยเหลือของทุกฝ่ายก็ปรับมาเป็นการส่งออกจากทางท่าเรือแหลมฉบังทดแทนเส้นทางรถยนต์ จากเดิมใช้เรือส่งออกทุเรียนไปจีนเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ในขณะนี้ก็เพิ่มเป็นร้อยละ 40-50
“การปิดด่านไทย-กัมพูชา กระทบไหม ก็กระทบ 2 ฝ่ายแต่ก็ไม่แยอะนัก ในขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่เขาก็รับจากจีนและเวียดนาม แต่ถามว่าประชาชน 2 ฝ่ายก็เดือดร้อน ก็คาดหวังจะปิดด่านไม่นาน ซึ่งหอการค้าก็ติดตามสถานการณ์และประสานภาครัฐและทุกฝ่ายในการแก้ปัญหา” นายวิรัตน์ กล่าว
สำหรับชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีระยะทางกว่า 800 กม. ทั้งนี้ จุดผ่านแดนไทย-กัมพูชา มีทั้งหมด 18 แห่ง ใน 7 จังหวัด คือ จังหวัดตราด จันทบุรี สระแก้ว บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี แบ่งเป็น จุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง และจุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว 1 แห่ง
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลปี 2567 ด่านที่สำคัญในการค้าชายแดนและผ่านแดน มี 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรอรัญประเทศ จ.สระแก้ว มูลค่าการค้า 110,718 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.4, ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด มูลค่าการค้า 29,289 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.8 และด่านศุลกากรจันทบุรี จ.จันทบุรี มูลค่าการค้า 26,621 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.3
สำหรับการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2568 (ม.ค-เม.ย) มีมูลค่ารวม 64,612 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนร้อยละ 12.31 โดยแบ่งเป็นมูลค่าการส่งออก 50,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.73 และมูลค่าการนำเข้า 14,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.38 โดยไทยยังคงเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 35,838 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 5.39
กรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยสินค้าส่งออกสำคัญที่ส่งออกจากชายแดนไทย ได้แก่ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่ น้ำอัดลม, รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ, รถยนต์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้า, ยานพาหนะอื่น ๆ และส่วนประกอบ, ผ้าผืนและด้าย, เครื่องสำอาง, เครื่องหอมและสบู่, สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ
ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก, เศษอะลูมิเนียม, ลวดและสายเคเบิล, ที่หุ้มฉนวนทองแดง, อุปกรณ์โครงรถและตัวถัง, ผลิตภัณฑ์โลหะทำด้วยเหล็ก, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, ผลไม้และของปรุงแต่งจากผลไม้, มอเตอร์ไฟฟ้า และชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและส่วนประกอบ
ส่วนสถิติการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ปี 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวม 175,530 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออกมูลค่า 141,846 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 32,684 ล้านบาท ได้ดุลการค้า 109,163 ล้านบาท. -511-สำนักข่าวไทย