กรุงเทพฯ 19 มิ.ย. – นักเศรษฐศาสตร์ ภาคเอกชนแนะตั้งรัฐบาลแห่งชาติ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย วอนหาคนเก่ง คนดี บริหารด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง เพื่อหาทางออกประเทศ
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ นักเศรษฐศาสตร์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า กล่าวว่า เมื่อการเมืองไทยแบ่งเป็น 3 ขั้ว คือ 1.พรรคเพื่อไทยและพรรคเล็ก 2.ภูมิใจไทยและ สส.พันธมิตร 3.พรรคประชาชน ซึ่งคงรวมกันลำบาก เมื่อเสียงแต่ละกลุ่มปริ่มน้ำ จะเกิดปัญหาการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 69 อาจล่าช้าออกไป 5-6 เดือน เมื่อเงินลงทุนไม่ออกสู่ระบบจะกระทบเศรษฐกิจหนักมาก เหมือนช่วงรัฐบาล “เศรษฐา 1” กว่างบประมาณจะผ่านสภาต้องใช้เวลาหลายเดือน จึงไม่อยากให้มีวิกฤติปัญหาซ้ำเดิมอีก สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท คงไม่ต้องหวังในช่วงนี้ต้องถูกแช่เข็งไปก่อนแน่นอน
ทางออกปัญหาการเมืองขณะนี้ มีอยู่ 3 ทาง ประกอบด้วย 1.นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจยุบสภา หากเลือกแนวทางยุบสภา การเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐ จะไม่คืบหน้า เพราะไม่คุยกับรัฐบาลรักษาการ ปัญหาชายแดนกัมพูชาจะไม่คลี่คลาย เพราะรัฐบาลรักษาการตัดสินใจไม่ได้ จึงมีความเสี่ยงมาก และเมื่อไม่มี กมธ.พิจารณางบประมาณ งบปี 69 เบิกจ่ายได้เฉพาะเงินเดือนและงบประจำ ทำให้งบลงทุนไม่ออกสู่ระบบ กระทบไปอีกหลายส่วน หากเลือกตั้งใหม่ กว่าจะได้รัฐบาล งบประมาณออกสู่ระบบกลางปีหน้า
2.นายกฯ ลาออก ยังมีสภาพิจารณากฎหมาย แต่เมื่อคะแนนเสียงปริ่มน้ำของทั้ง 3 กลุ่ม การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ จะทำได้ยาก การปรับ ครม.หรือเลือกตั้งนายกฯ จะใช้เวลาอีกนาน ในการใช้คะแนนเสียง ก็ยังมีปัญหาต่อเศรษฐกิจ 3.การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ด้วยการให้ทุกฝ่าย หันหน้าเข้าหากัน ยอมดึงคนเก่ง คนดี มีชื่อเสียง เข้ามาบริหารในช่วง 1-2 ปี เพื่อรีเซตทุกอย่างให้หมด ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้ การเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐ ปัญหาชายแดนกัมพูชา เมื่อมีรัฐบาลตัวจริงบริหาร ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้
นายสุพันธ์ มงคลสุธี อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า มองว่าการตั้ง ”รัฐบาลแห่งชาติ“ เป็นทางออกของประเทศ เพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมกันทำเพื่อประเทศสัก 1-2 ปี เพราะทุกกลุ่มทุกก๊วนล้วนสะสมกำลัง เตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว เพราะการแบ่งออกเป็น 3 ขั้วทางการเมือง จะเดินหน้าไปลำบาก หากทุกกลุ่มไม่ยอมหาทางออกร่วมกัน ประเทศจะย่ำแย่ เศรษฐกิจทรุดต่ำลง ธนาคารโลก หรือหน่วยงานอื่น ๆ คาดการณ์จีดีพีไทยในปี 68 โตร้อยละ 1.6-1.7 โดยยังไม่รวมปัญหาการเมืองในปัจจุบัน อาจแย่ลงไปอีก จึงเห็นใจเอสเอ็มอีและคนตัวเล็ก และทำให้คนเก่งคนดี เข้ามาเล่นการเมืองลำบากขึ้น
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การปรับ ครม.หรือการปรับเปลี่ยนขั้วของรัฐบาล ต้องสรรหาคนดี มีฝีมือ เข้ามาบริหารประเทศในช่วงวิกฤติ นักลงทุน ประชาชนเห็นหน้าแล้ว รับได้ยิ้มออก จึงจะมีความเชื่อมั่น ทางดังนั้น ทางออกที่ดี คือ การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ด้วยการให้ทุกฝ่าย มองเห็นประโยชน์ประเทศเป็นหลัก ร่วมกันขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง ให้เป็มทีมเวิร์คเดียวกัน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหากับ 1.ดักหนี้ NPL หนี้ครัวเรือน 2.กับดักคน ยังพัฒนาไม่ทันกระแสโลก 3.กับดักทุน ประชาชนรายย่อย เข้าถึงแหล่งทุนไม่ได้เต็มที่ 4.กับดักกลุ่มทุนสีเทา ธุรกิจผิดกฎหมายยังมีอยู่เต็มบ้านเมือง 5.กับดับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อลดปัญหาไทยเข้าสู่ “แบล็กโซน”

ขณะนี้เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยต้องการความมั่นคง และเชื่อมั่นกองทัพ ในการรักษาอธิปไตยของชาติ แต่การปิดด่านชายแดนเป็นเวลานาน กลับมีความเสี่ยงหลายด้านเกิดขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนไทยไปลงทุนในกัมพูชา ยอดเงินลงทุน 3,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การจ้างแรงงานต่างด้าวในประเทศที่อยู่ในระบบ 4 แสนคน และยังมีนอกระบบอีกจำนวนมาก ในปี 67 ไทยส่งออกไปยังกัมพูชา 120,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 68 ส่งออก 22,000 ล้านบาท
การส่งออกทั้งหมด เอสเอ็มอีส่งออกไปสัดส่วนร้อยละ 18 มูลค่า 18,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือร้อยละ 85 เป็นของเอกชนรายใหญ่ ส่วนการนำเข้าจากกัมพูชาในปี 67 มูลค่า 38,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 68 มูลค่า 16,000 ล้านบาท โดยเป็นการนำเข้าจากเอสเอ็มอีไทยในปี 67 มูลค่า 7,000 ล้านบาท มีสัดส่วนร้อยละ 19 ที่เหลือร้อยละ 81 เป็นของเอกชนรายใหญ่ ดังนั้นในช่วงปัญหาการเมืองไทย จากเติมสินค้าชายแดนมีความสำคัญอย่างมากต่อไทย จึงต้องทำตลาดเน้นไปยังมาเลเซีย, เมียนมา, สปป.ลาว แทนกัมพูชา.-515- สำนักข่าวไทย