กรุงเทพฯ 18 มิ.ย. – นายกฯ สั่งการกระทรวงพลังงานให้ดูแลรับมือปัญหาสงครามตะวันออกกลาง ดูแลประชาชน ส่งเสริมให้ภาคพลังงานมีความมั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน โดย ก.พลังงาน แจงดูแลราคาผ่านกลไกกองทุนน้ำมัน และพร้อมปรับปริมาณสำรองน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์
วันนี้ (18 มิ.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 5/2568 ณ ห้อง Synergy Hall ชั้น 6 ศูนย์ Energy Complex กระทรวงพลังงาน โดยมี พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน และนายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้บริหารระดับสูงให้การต้อนรับ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงพลังงานปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งขอให้ติดตามสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิหร่านและอิสราเอลอย่างใกล้ชิด
“เรื่องของการสู้รบระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่กำลังเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดรวมทั้งสั่งการให้มีการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานให้มีความมั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืน ซึ่งกระทรวงพลังงานพร้อมดูแลทั้งมิติด้านราคาไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนโดยอาศัยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพ และมิติด้านความมั่นคง ก็ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปริมาณสำรองน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และพร้อมปรับปรุงโครงสร้างพลังงานให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว


นายประเสริฐ ได้รายงานว่าในปีหน้า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ Gastech 2026 ซึ่งเป็นการประชุมและแสดงนิทรรศการด้านก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะจัดในเดือนกันยายน 2569 คาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศได้กว่า 4,100 ล้านบาท นอกจากนี้รายงานสถานการณ์ด้านพลังงาน ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าและมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากกว่า 93% เมื่อเทียบกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีการใช้ไฟฟ้า 2.1 แสนล้านหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5% และความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดหรือ Peak อยู่ที่ 36,792 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 5% ในส่วนของภารกิจสำคัญของกระทรวงพลังงาน ได้นำเสนอการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดค่าไฟฟ้า ซึ่งตลอดปี 2567 จนถึงปัจจุบัน อัตราค่าไฟฟ้าก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนค่าน้ำมัน ได้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแล ชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาสูง และบริหารจัดการจนสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากมีหนี้กว่า 120,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จนปัจจุบันเหลืออยู่ที่ประมาณ 36,200 ล้านบาท รวมทั้งยังมีการตรึงราคาก๊าซหุงต้มหรือ LPG และ NGV ซึ่งเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชน
นอกจากนี้ ยังได้เร่งขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” ด้านพลังงานที่ครอบคลุมทั้งการใช้และการจัดหา โดยในด้านการใช้ ได้เริ่มต้นการส่งเสริมการลดการใช้พลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทำให้ปีที่ผ่านมา สามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านหน่วย และลดการใช้น้ำมันได้กว่า 4 ล้านลิตร การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น ระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เตาชีวมวล ส่วนในด้านการจัดหา ได้เร่งพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน และลดขั้นตอนการขออนุญาตเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและเอกชน สามารถเข้าถึงและให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop รวมทั้งการเปิดประมูลสัมปทานขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียมทั้งพื้นที่บนบกและในทะเล และการพิจารณาความเป็นไปได้ของการจัดหา LNG จากแหล่งอะแลสกา ซึ่งเป็นแหล่งทางเลือกที่มีศักยภาพและอาจช่วยลดต้นทุนการจัดหา LNG ของประเทศได้
ในด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา ก็ได้ร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรุงเทพมหานคร ในการร่วมกันลดฝุ่น PM2.5 และในอนาคตก็ได้วางแผนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า SMR (โรงไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก) การส่งเสริมการใช้น้ำมัน SAF ในอุตสาหกรรมการบิน โดยร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงการคลัง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การเตรียมความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเทรนด์โลกที่กำลังจะมา รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมให้เป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS
ส่วนการบูรณาการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายระหว่างกระทรวงพลังงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการหารือในที่ประชุมที่สำคัญ อาทิ การขอเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ด้านปิโตรเลียม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ กรมศิลปากร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม การส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม การส่งเสริมการใช้ Solar Rooftop หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ และการดักจับและกักเก็บคาร์บอน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมอุทกศาสตร์ กรมเจ้าท่า เป็นต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ยังคงมุ่งเน้น 3 เสาหลักสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านพลังงาน ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน โดยภาคการผลิตและการใช้ต้องมีความมั่นคง เร่งจัดหาแหล่งพลังงานราคาถูกเพิ่มขึ้น 2. พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าสีเขียวเพื่อดึงดูดให้ต่างชาติหันมาลงทุนตั้งโรงงานและ Data Center ในประเทศ 3. พลังงานคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรม. -511-สำนักข่าวไทย