นนทบุรี 18 มิ.ย. – “พิชัย” ปลื้มส่งออกไทยเดือน พ.ค.68 โต 18.4% มูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทะลุ 1 ล้านล้านบาท ชี้รัฐบาล 8 เดือน ส่งออกไทยขยายตัวแล้ว 13.3% กวาดรายได้เข้าประเทศ 215,798.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7.23 ล้านล้านบาท) พร้อมฝากถึงผู้ว่าการ ธปท. ควรทำให้ค่าเงินบาทอ่อนกว่านี้ ส่วนส่งออกผักผลไม้ไปกัมพูชายังไม่กระทบมาก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย สถานการณ์การส่งออกของไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 31,044.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1,025,477 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ในอัตราร้อยละ 18.4 ซึ่งนับเป็น อัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2565 และถือเป็นมูลค่าการส่งออกรายเดือน สูงสุดในประวัติศาสตร์
ทั้งนี้ หากไม่รวมกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 20.3 ซึ่งสะท้อนถึงภาวะการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับการชะลอการใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งผลให้สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และแผงวงจรไฟฟ้า เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินค้าเกษตร โดยเฉพาะ มันสำปะหลัง ทุเรียน มังคุด และเงาะ ก็กลับมาฟื้นตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน
สำหรับภาพรวม 5 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกไทยขยายตัวร้อยละ 14.9 (หากไม่รวมสินค้าน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะขยายตัวที่ร้อยละ 13.9)
สินค้าเด่นและตลาดสำคัญที่ขยายตัว
สินค้าอุตสาหกรรม: ขยายตัวถึงร้อยละ 22.9 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 นำโดย คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า รถยนต์ และอัญมณี (ไม่รวมทองคำ)
สินค้าเกษตร: กลับมาขยายตัวร้อยละ 6.8 หลังชะลอตัวหลายเดือน โดยเฉพาะผลไม้สด มันสำปะหลัง และมะม่วง
ตลาดส่งออกสำคัญที่เติบโตดี ได้แก่
-สหรัฐฯ +35.1% (โตต่อเนื่อง 20 เดือน)
-จีน +28.0%
-ตะวันออกกลาง +22.8%
-เอเชียใต้ +22.3%
-แอฟริกา +21.4%
-สหภาพยุโรป +16.6%
-อาเซียน +8.8%
นายพิชัย กล่าวว่า ผลงานของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกไทยขยายตัวแล้วถึง ร้อยละ 13.3 สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศรวมกว่า 215,798.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.23 ล้านล้านบาท และคาดว่าหากแนวโน้มยังคงอยู่ในทิศทางบวก จะเป็นปีทองของการส่งออกไทยอย่างแท้จริง
“อย่างที่ผมย้ำมาตลอดว่า ปีนี้จะเป็น ‘ปีทอง’ ของการส่งออก เราไม่ได้เติบโตเพียงเพราะนโยบายต่างประเทศของบางประเทศ แต่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของสินค้าไทยและการทำงานร่วมกันอย่างแข็งขันของทุกกรมในกระทรวงพาณิชย์ ผมมั่นใจว่าในสิ้นปีนี้ เราจะเห็นการขยายตัวแตะตัวเลข สองหลัก ได้แน่นอน” นายพิชัย กล่าว
นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯ ยังระบุว่ากระทรวงฯ ได้เริ่มเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ส่งออกไทยในระยะยาว
นายพิชัย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งตัว อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตร โดยเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย ที่ค่าเงินอ่อนลงจนสามารถตั้งราคาสินค้าได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาทิศทางค่าเงินอย่างรอบคอบ เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก
“กระทรวงพาณิชย์วิ่งขายของอย่างเดียวไม่พอ ถ้าค่าเงินยังแข็งแบบนี้ผู้ส่งออกโดยเฉพาะเกษตรกรจะได้รับผลกระทบหนัก เราอยากเห็นค่าเงินอ่อนลงบ้าง ดังนั้นผู้ว่าการ ธปท.ต้องไปดูการทำงานของคนอื่นด้วย เพราะค่าเงินบาทที่แข็งตัวจะกระทบการส่งออก แต่ผู้ว่า ธปท.จะอยู่อีกไม่กี่เดือนก็จะหมดวาระแล้ว หวังว่า ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่จะเข้าใจปัญหา เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รอบด้าน ทั้งการส่งออก การลงทุน และรายได้ของประชาชน ” นายพิชัย กล่าว
สำหรับการส่งออกผักและผลไม้ไปยังกัมพูชาที่มีปัญหาเรื่องข้อพิพาทดินแดนและการปิดด่านนั้น นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่กระทบมากเพราะยังสามารถกระจายผลไม้ไปยังห้างโมเดิร์นเทรดได้ โดยล่าสุดมีการรับซื้อมังคุดไปแล้ว 6 แสนกิโลกรัม ส่วนเรื่องผักสดที่มีปัญหาการส่งออกจากไทยไปกัมพูชา โดยเฉพาะจากตลาดไทไปยังชายแดนกัมพูชา จะต้องเข้าไปดูว่ากระทบอย่างไรและพิจารณาเป็นรายๆ ไป
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการส่งออกผักและผลไม้ไปยังกัมพูชา ว่า ผลไม้ในภาคตะวันออกช่วงนี้ เป็นช่วงปลายฤดูกาล ยังมีผลผลิตอีกไม่ถึง 7 พันตัน ซึ่งกรมการค้าภายในได้ประสานหาตลาดให้ โดยล่าสุดมีผู้ประกอบการรับซื้อไปแล้ว 3 พันตัน นอกจากนี้ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เตรียมเชิญสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 100 ราย ให้เข้ามาช่วยซื้อผลไม้ของไทยด้วย
นายวิทยากร ระบุว่า ชาวกัมพูชานิยมบริโภคผลไม้สุก ดังนั้นจึงไม่กระทบกับการส่งออกของไทย ส่วนเส้นทางส่งสินค้าไปเวียดนาม ยังมีอีกหลายเส้นทางที่ไม่ต้องผ่านกัมพูชา เช่น เส้นทาง R9 สายมุกดาหาร-สหวันนะเขต (สปป.ลาว) – Quag Tri (เวียดนาม) ระยะทาง 230 กม. เส้นทาง R12 สายนครพนม-คำม่วน (สปป.ลาว)-Ha Tinh (เวียดนาม) ระยะทาง 210 กม. และเส้นทางสายอุบลราชธานี-จำปาสัก (สปป.ลาว)- Koh Tum(เวียดนาม) ระยะทาง 250 กม. ดังนั้นหากไม่สามารถผ่านกัมพูชาได้ เราก็ยังมีทางเลือกอีกหลายเส้นทางเพื่อส่งออกไปยังเวียดนาม. -513-สำนักข่าวไทย