กรุงเทพฯ 13 มิ.ย. – นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด ตั้งหัวข้อวิเคราะห์สงครามอิสราเอลโจมตีอิหร่าน ระบุ สหรัฐได้ประโยชน์ คาดราคาน้ำมันจะยืนเหนือ 75-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในปีนี้และยืนระดับสูงกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปีหน้า เพราะสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ดูท่าทางจะยืดเยื้อเป็นปี
นายสุวัฒน์ ตั้งคำถามว่าทำไมอิสราเอลต้องโจมตีอิหร่าน? และส่งผลให้ราคาน้ำมันน่าจะยืนเหนือ 75-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และส่งผลหุ้นน้ำมันกำลังจะมา การอ้างว่าโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน (ที่มีมานานแลัว) เป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล ถึงขั้นที่อิสราเอลหาญกล้าโจมตีอิหร่าน โดยสหรัฐอ้างว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องและให้ความช่วยเหลือใด ๆ คิดว่าเป็นเพราะอะไร? เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์
1.สงครามเพื่อก่อความไม่สงบในตะวันออกกลาง มีความจำเป็นต้องดำเนินต่อไป เพื่อให้สหรัฐสามารถขายอาวุธให้กับชาติอาหรับที่ร่ำรวย แต่ไม่ได้มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งอย่างซาอุดีอาระเบียน, UAE, กาตาร์ จำเป็นต้องซื้ออาวุธมากมายเพื่อป้องกันตนเอง
2.ความไม่สงบในตะวันออกกลางต่อจากนี้ไป คู่ชกจะเปลี่ยนจากอิสราเอล-ฮามาส ที่สู้กันมาปีกว่า จนกระทั่งฮามาสอ่อนเปลี้ยและสังคมโลกไม่ให้ความสำคัญ (ความกลัว) ต่อสงครามคู่นี้อีกแล้ว
…แล้วทำไมต้องเป็นกับอิหร่าน..????
โดยปัจจุบัน ชาติอาหรับ 4 เกลอหัวแข็งที่มีกองกำลังพอจะสู้กับอิสราเอลได้ในอดีต คือ อียิปต์ จอร์แดน อิรัก ซีเรีย ล้วนอ่อนแอ จึงไม่สามารถจะเป็นคู่ชกกับอิสราเอลเพื่อสร้างความวุ่นวายในตะวันออกกลางได้อีก ดังนั้น จึงเหลือเพียงอิหร่านที่จะเป็นคู่ชกที่เหมาะสมไดั เพราะอิหร่านเป็นชาติเปอร์เซียที่ไม่ใช่อาหรับ และมีความสามารถต่อกรกับอิสราเอลได้ น่าสังเกตว่า..
1) ทำไมอิสราเอลต้องมากลัวอิหร่านตอนนี้ เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ ที่แม้แต่วันนี้ ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์จริงๆ
2) ทำไมอิสราเอล กล้าที่จะลงมือโจมตีอิหร่านก่อน ทั้งที่สูญเสียเงิน อาวุธ กำลังพลไปจากการต่อสู้กับฮามาส ถ้าไม่มีสหรัฐหนุนหลัง อิสราเอลจะกล้าทำขนาดนี้หรือไม่
3) สหรัฐได้กำไรมากมาย ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซฯ มากที่สุดในโลก และส่งออกมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการกดราคาน้ำมันให้ต่ำในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพื่อทำให้เงินเฟ้อออกมาต่ำ โดยได้รับความร่วมมือจากซาอุฯ UAE ที่ประกาศเพิ่มการผลิต หลังจากคงการลดกำลังการผลิตตามโควต้า 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ของกลุ่ม Opec+ มานานกว่า 2 ปี นั่นทำให้ราคาน้ำมัน Brent ลดลง แตะ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4-5 ปี โดยระดับราคานี้ เป็นระดับที่ผู้ผลิต shale oil ของสหรัฐบางส่วนที่มีต้นทุนสูง จะเริ่มไม่ทำกำไร และอาจขาดทุนหากราคาลดลงอีก
4)กดดันจีนที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันมากที่สุดในโลก เช่นเดียวกับที่สหรัฐเคยครองตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน แล้วมาถูกเปิดจุดอ่อนด้านพลังงานในช่วงปี 1970-1985 (พ.ศ.25.13-2528) ที่สหรัฐถูกผู้ผลิตน้ำมันตะวันออกกลาง ประท้วงไม่ขายน้ำมันให้ ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งพรวดเกิน 16% และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอย กว่าจะกลับมาได้ ต้องรอให้ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐ )ขึ้นดอกเบี้ยไปเกิน 16% เพื่อปราบเงินเฟ้อ
หลังจากนั้น สหรัฐก็เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมัน จากการใช้เทคโนโลนียี fracking ที่ทำให้การผลิต shale oil/gas เพิ่มขึ้นจากปี 2000 (พ.ศ.2543) ที่มีเพียง 1 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นปัจจุบัน สูงกว่า 12 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้สหรัฐนอกจากไม่ต้องกังวลว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง จะมาดัดหลังสหรัฐด้านพลังงานได้อีก นั่นจึงทำให้ความไม่สงบในตะวันออกกลางจากสงครามอิมราเอล-ฮามาส แทบไม่มีผลต่อราคาน้ำมันในข่วงที่ผ่านมา
เพราะแท้จริงแล้ว สหรัฐคือ จ้าวแห่งพลังงานโลกในปัจจุบัน ที่กุมอำนาจในการกำหนดราคาน้ำมันและก๊าซไว้ในมือ
มาวันนี้ สหรัฐหันมาใช้พลังงานเป็นอาวุธ โดยการสร้างความวุ่นวาย โดยใช้อิสราเอลเป็นตัวแทน จากสงครามกับฮามาส มาสู่สงครามกับอิหร่าน โดยที่สหรัฐใช้เรื่องการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่าน การถอนคนจากพื้นที่ “เสี่ยง” จากอิรัก และการแซงก์ชั่นน้ำมันอิหร่านเป็นเชื้อไฟ ที่ใส่เพิ่มลงไปในกองไฟอิสราเอล “คาดว่าราคาน้ำมันจะยืนเหนือ 75-80 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้ใน 6 เดือนที่เหลือปีนี้ และน่าจะยืนสูงกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปีหน้า เพราะสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ดูท่าจะยืดเยื้อเป็นปี”.-511-สำนักข่าวไทย