นนทบุรี 13 มิ.ย. – กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กางแผนเจรจา FTA ปี 68 เร่งผลักดันเจรจา FTA คงค้างกับอียูและเกาหลีใต้ พร้อมใช้เวที JTC กระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับคู่ค้า ลุยลงพื้นที่ติวเข้มใช้ประโยชน์ FTA ขยายโอกาสทางการค้าในตลาดต่างประเทศ
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยแผนการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยในปี 2568 ว่า กรมฯ จะเร่งเดินหน้าสรุปการเจรจา FTA ที่คงค้างอยู่โดยเร็ว คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และไทย-เกาหลีใต้ ซึ่งการเจรจากับเกาหลีใต้ ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าที่จะสรุปผลภายในปี 2568 ส่วน FTA อาเซียน-แคนาดา จะเร่งผลักดันให้มีความคืบหน้ามากที่สุดในปี 2568 เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2569
นางสาวโชติมา เพิ่มเติมว่า ในช่วงปี 2567 – ต้นปี 2568 ไทยได้ลงนาม FTA จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ ไทย-ศรีลังกา, ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association: EFTA) และ ไทย-ภูฏาน ซึ่งปัจจุบันไทยและประเทศคู่ FTA อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่อให้ความตกลงการค้าเสรีมีผลบังคับใช้ภายในปี 2569 โดยสินค้าและบริการที่จะได้รับประโยชน์ อาทิ ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกลและเครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารปรุงแต่ง ผักและผลไม้ การท่องเที่ยว บริการธุรกิจ ก่อสร้าง ขนส่งและโลจิสติกส์ และค้าปลีก

สำหรับการเจรจายกระดับ FTA ที่มีอยู่ในระดับภูมิภาค ไทยและสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศ ได้ลงนามการเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ และล่าสุดสามารถสรุปผลการเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-จีน รวมทั้งความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนได้แล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจายกระดับความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงเนื้อหาให้มีความทันสมัยและสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งไทยยังอยู่ระหว่างเจรจาจัดทำ FTA ไทย-เปรู ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้าส่วนที่เหลือร้อยละ 30 และการเปิดเสรีภาคบริการ โดยตั้งเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาภายในเดือนสิงหาคม 2568
ส่วนการเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework: DEFA) มีความคืบหน้าอย่างมาก ตั้งเป้าให้สรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 ซึ่งจะถือเป็นความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาคฉบับแรกของโลก มีขอบเขตครอบคลุมประเด็นด้านดิจิทัลอย่างรอบด้าน รวมถึงประเด็นท้าทายใหม่ทางการค้าดิจิทัลที่ไทยผลักดันและสามารถหาข้อสรุปได้แล้ว อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีการเงิน (Fin Tech) ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) และการต่อต้านการหลอกลวงออนไลน์ (Anti-Online Scam) เป็นต้น
นอกจากนี้ กรมมีแผนจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ระดับรัฐมนตรีกับคู่ค้าของไทย อาทิ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ และสหราชอาณาจักร เพื่อกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ด้านการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จาก FTA กรมจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ศอ.บต. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เดินหน้าสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ประโยชน์จาก FTA และชี้ช่องโอกาสในการทำตลาดต่างประเทศ ให้แก่เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ผู้ประกอบการSMEs ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย นครพนม ฉะเชิงเทรา ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดจนการจัดโครงการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าที่สามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ขยายการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปในพืื้นที่ ทั้งผลไม้ ชา กาแฟ โกโก้ ผ้าทองานหัตถกรรม อัญมณีและเครื่องประดับ สู่ตลาดการค้าเสรี ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง
สำหรับในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค. 2567) การค้าของไทยกับ 18 ประเทศคู่ค้า FTA มีมูลค่า 360.34พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 59.3 ของการค้ารวมของไทย โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 154.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากประเทศคู่ค้า FTA มูลค่า 172.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค. – มี.ค.) ของปี 2568 การค้าของไทยกับประเทศคู่ FTA มีมูลค่าการค้ารวม 96,905 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 60 ของการค้าของไทยทั้งหมด การส่งออกไปประเทศคู่ FTA รวม 45,144 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 55 ของการส่งออกทั้งหมด การนำเข้าจากประเทศคู่ FTAรวม 51,761 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 64 ของการนำเข้าทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญของไทย อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และแผงวงจรไฟฟ้า ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มปัจจัยการผลิตที่ไทยสามารถนำมาในการต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า และสินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์. -513-สำนักข่าวไทย