กรุงเทพฯ 12 มิ.ย. – สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ออกแถลงการณ์เรียกร้องภาครัฐเร่งแก้ปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนหัวลากประกาศ ดีเดย์ 1 ก.ค.68 ขึ้นค่าขนส่งอีกเที่ยวละ 3,000-5,000 บาท กระทบต่อต้นทุนของผู้ส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ที่อาจจะเพิ่มถึงปีละ 20,000 ล้านบาท
สรท. ระบุ ความพยายามแก้ไขปัญหาความแออัดในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังตลอดระยะเวลามากกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในทางตรงกันข้ามสถานการณ์ความแออัดในบางช่วงเวลากลับรุนแรงขึ้น โดยสมาชิกของสภารายงานให้ทราบว่า ในบางช่วงเวลารถขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ใช้เวลาในท่าเรือแหลมฉบังต่อเที่ยวสูงสุดถึง 20 ชั่วโมง ส่งผลให้ล่าสุดสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยทำหนังสือแจ้งให้ทราบว่าจะมีการเรียกเก็บ “ค่าจอดรถรอคอยกรณีรถติดในท่าเรือแหลมฉบัง เพิ่มจากค่าขนส่งปกติอีกเที่ยวละ 3,000-5,000 บาท กรณีจอดรอคอยเกินกว่า 3 ชั่วโมง/ครั้ง/เที่ยว มีผล ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป”
เมื่อพิจารณาจากปริมาณตู้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าหนักและตู้คอนเทนเนอร์เปล่า ซึ่งขนถ่ายผ่านท่าเรือแหลมฉบังในปี 2567 ที่ผ่านมา จำนวน 9,554,673 ทีอียู อาจก่อให้เกิดภาระต้นทุนเพิ่มเติมแก่ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าระหว่าง 12,000-20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่เกินกว่ารัฐบาลจะเพิกเฉยปล่อยให้ภาคเอกชนรับผิดชอบกันเอง เนื่องจากไม่เพียงแต่จะทำให้สินค้าส่งออกของไทยแข่งขันด้านราคาได้ยากยิ่งขึ้น แต่จะส่งผลให้ประชาชนไทยในฐานะผู้บริโภคย่อมต้องรับภาระค่าขนส่งผ่านราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นจากต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่เกิดจากปัญหามลพิษฝุ่นควัน (PM2.5) จากการปล่อยของเสียรถบรรทุกที่จอดคอยในท่าเรือเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง


ที่ผ่านมา สรท.ได้นำเสนอสาเหตุของปัญหาทั้งระบบครอบคลุมข้อจำกัดทุกด้าน รัฐบาลและการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องจัดหาพื้นที่ในเขตท่าเรือแหลมฉบังให้ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์สามารถเช่าใช้กองเก็บตู้คอนเทนเนอร์ได้อย่างเพียงพอและในอัตราค่าเช่าที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้ เพื่อลดปัญหาความแออัดในท่าเทียบเรือในทันที พร้อมทั้งเร่งดำเนินมาตรการทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ตามข้อเสนอแต่ละด้านอย่างจริงจังต่อไป.
โดยข้อเสนอที่สำคัญ เช่น จำกัดของผู้ส่งออก-นำเข้า ข้อจำกัดของการขนส่งด้วยเรือชายฝั่ง ข้อจำกัดของการขนส่งทางราง ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจราจรในท่าเรือ และข้อจำกัดด้านความแออัดของท่าเทียบเรือสัมปทาน ตลอดจนได้จัดทำข้อเสนอที่ครอบคลุมทุกมิติ เช่น
1.การขับเคลื่อนระดับนโยบาย จัดตั้ง “คณะกรรมการระดับนโยบาย” เพื่อสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, เร่งจัดทำ “Master Plan”,“จัดสรรงบเร่งด่วน, จัดตั้ง “คณะทำงานร่วมระดับปฏิบัติการ” เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ,ปรับปรุงอัตราค่าภาระท่าเรือ” เพื่อลดต้นทุนผู้ใช้บริการท่าเรือ
- ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เร่งพัฒนา “ลานวางตู้กลาง” และ “Service / Rest Area” ทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ, “เพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าทางรางและทางน้ำเข้าออกท่าเรือ” ,ปรับปรุงวิศวกรรมการจราจรภายในท่าเรือ,ขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือ และแอ่งจอดเรือ” และเพิ่มการลงทุนในเครื่องมือยกขนตู้สินค้า
3.ด้านกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีสารสนเทศ เร่งรัดการใช้ “ระบบ Truck Queue 100%” ให้รถทุกคันต้องจองคิวก่อนเข้าท่าเรือ , เร่งรัดพัฒนา “ระบบ Port Community System (PCS)” เชื่อมโยงข้อมูลกับทุกระบบการทำงานแบบ Real Time
4.ด้านกฎหมายและกฎระเบียบเช่น ขอให้ “ด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจปล่อยสินค้า ปฏิบัติงานตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง”, ปรับปรุงสัญญาสัมปทานท่าเทียบเรือและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ “กำหนด Service Level Agreement ด้าน Inland Transport” เป็นต้น.-511-สำนักข่าวไทย