กรุงเทพฯ11 มิ.ย.-บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด (WAVE BCG) จับมือ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี(PTG) เปิดโครงการ “ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง” ผนึกกำลังกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี สู่การทำเกษตรกรรมคาร์บอนต่ำบนที่นา 500 ไร่
นายกรกช สงวนปิยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WAVE BCG ผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร ในเครือบริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ (WAVE) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 2568 จึงเดินหน้าโครงการ “Climate Project” เพื่อจัดหาและพัฒนา รวมถึงบริหารจัดการโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction Project) หลากหลายรูปแบบ โดยนำร่องโครงการกับภาคเกษตรกรรม ด้วยการพัฒนานวัตกรรมแห่งการเกษตรยุคใหม่ “ปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง” (Alternate Wetting and Drying: AWD) โดยจะส่งเสริมการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวให้กับเกษตรกรไทยใน จ.สุพรรณบุรี และปทุมธานี บนที่นากว่า 3,300 ไร่ มุ่งลดปล่อยก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งสนับสนุนองค์กรต่างๆ บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อร่วมลดภาวะโลกร้อน
ล่าสุดบริษัทฯ ร่วมกับ PTG ส่งเสริมการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ภายใต้โครงการ “ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง” กับกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี บนที่นา 500 ไร่ ซึ่งก่อนเริ่มโครงการจะอบรมให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับการทำนาเปียกสลับแห้ง (AWD) รวมถึงแนะนำการใช้แอปพลิเคชันสำหรับติดตามผลเริ่มต้น และเริ่มฤดูเพาะปลูก รวมถึงเก็บข้อมูลและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และในปีที่ 3 จึงดำเนินการติดตามผลและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วขอรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต โดยโครงการ “ข้าวยั่งยืน ลดมีเทน ด้วยนาเปียกสลับแห้ง” กับกลุ่มเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี นับว่าเป็นโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) มาตรฐานขั้นสูง ที่ได้ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมและการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นหรือทำประชาพิจารณ์ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2568 ณ วัดเนินมหาเชษฐ์ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
โดยการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งควรปล่อยให้นามีดินแห้งเป็นระยะ จะช่วยลดการเกิดกระบวนการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน ทำให้การปล่อยก๊าซมีเทน (CH4) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกประเภทหนึ่งลดลง ซึ่งก๊าซมีเทนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนสูงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 25-28 เท่า เมื่อเทียบกับการทำนาน้ำขังแบบปกติ อีกทั้งวิธีการปลูกข้าวดังกล่าวยังช่วยเพิ่มผลผลิต เนื่องจากจะกระตุ้นให้รากของต้นข้าวเจริญเติบโตได้ดี หาอาหารในดินลึกขึ้น ทำให้ระบบรากแข็งแรงและยาวทนทานต่อโรค
สำหรับแนวโน้มการซื้อและขายคาร์บอนเครดิตจากภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ได้รับความนิยมในต่างประเทศมากขึ้นและในประเทศไทยเริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งภาคการเกษตรนับเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases: GHG) เป็นอันดับ 2 รองจากภาคพลังงานและครึ่งหนึ่งจากภาคการเกษตรมาจากพื้นที่ข้าวในประเทศไทย
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพในการขยายพื้นที่การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง จากตัวเลขปี 2566 มีพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ที่ 61.9 ล้านไร่ แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 62% ภาคเหนือ 16.4% ภาคกลาง 12.6% และภาคใต้ 9% (อ้างอิงข้อมูล สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ในจำนวนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทำนาเปียกสลับแห้งถึง 10.6 ล้านไร่ จึงเป็นโอกาสสำคัญการใช้พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับเพาะปลูกเพื่อพัฒนาสู่การทำคาร์บอนเครดิต ซึ่งการเปลี่ยนวิธีปลูกข้าวเป็นแบบเปียกสลับแห้ง 1 ไร่ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.3-0.4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า -511 สำนักข่าวไทย