กรุงเทพฯ 26 พ.ค. – ผู้ว่าการ กฟผ.คนที่ 16 “เทพรัตน์” เผยแนวโน้มต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลงอีก ปลื้มภารกิจ กฟผ.ทำตามเป้าหมายมั่นคง-ค่าไฟต่ำ ปลื้มขึ้นอันดับ 1 รัฐวิสาหกิจนำเงินเข้ารัฐแม้แบกภาระหนี้ค่าไฟกว่า 7 หมื่นล้าน ส่งสัญญาณการลงทุนกระจุกตัวอีอีซีมีความเสี่ยงจัดการพลังงาน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนที่ 16 กล่าวว่า กลุ่ม กฟผ.พร้อมดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่เสนอแผนเจรจากับสหรัฐเรื่องการลงทุนและการรับซื้อก๊าซแอลเอ็นจีเพื่อสร้างสมดุลการค้า อย่างไรก็ตาม หลักการที่สำคัญคือแม้ กฟผ.พร้อมรับก๊าซแต่ก็ต้องเป็นราคาประมูลแข่งขันเพื่อให้ต้นทุนถูกที่สุดเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกับที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากไทยก็อยู่บนพื้นฐานต้นทุนราคาแข่งขันได้กับประเทศอื่น
ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า แนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคตก็มีโอกาสต่ำกว่างวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.68) ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย จากทิศทางราคาเชื้อเพลิงอ่อนแอลง สวนทางเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาท/ดอลลาร์สหรํฐ ในขณะที่หนี้ที่ กฟผ.รับภาระเชื้อเพลิงให้ประชาชนทยอยลดลงมาอยู่ที่ราว 71,000 ล้านบาท โดย กฟผ.ดำเนินการผลิตไฟฟ้าทั้งดูแลค่าไฟฟ้าควบคู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนำเงินส่งรัฐ 50% ของผลกำไรจนล่าสุดปีนี้ สร้างสถิติเป็นรัฐวิสาหกิจที่นำเงินส่งรัฐเป็นอันดับที่ 1 ทั้งที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในตลาดเพียง 29% เท่านั้น


ในขณะเดียวกันภาครัฐยังควบคุมผลตอบแทนรายได้ของ 3 การไฟฟ้า กำหนดอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุนเพื่อการดำเนินงาน (ROIC) ไม่เกิน 5% หากเกินอัตรานี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)จะใช้เงินเรียกคืนผลประโยชน์ส่วนเกิน (claw back) จาก 3 การไฟฟ้า มาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าซึ่งเห็นได้ชัดค่าไฟฟ้างวดนี้ ถูกเรียกประมาณ 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17 สตางค์ของหน่วย
“กฟผ.เป็นเครื่องมือของรัฐในการดูแลประชาชนทั้งค่าไฟและการนำเงินส่งรัฐโดยปี 65 หาก กฟผ.ไม่ร่วมรับต้นทุนค่าไฟ 1.5 แสนล้านบาท ค่าไฟฟ้าจะกระโดดไปถึง 7-8 บาทต่อหน่วย ภาพรวมแล้ว หาก กฟผ.มีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นก็จะสร้างประโยชน์แก่รัฐเพิ่มมากขึ้นในการเป็นเครื่องมือดูแลประชาชนเพิ่มขึ้น” นายเทพรัตน์ กล่าว
นายเทพรัตน์ กล่าวด้วยว่าในการดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าถือเป็นหัวใจหลักที่ 3 การไฟฟ้าพูดคุยแลกเปลี่ยนทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและล่าสุดก็ร่วมกันแจ้งต่อสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงความเป็นห่วงการลงทุนในพิ้นที่อีอีซีว่ามีการลงทุนใหม่ที่กระจุกตัวมากน่าจะกระจายไปพื้นที่อื่น ๆโดยมีความต้องการไฟฟ้าโครงการใหม่ถึง 1 หมื่นเมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ราว 5 พันเมกะวัตต์ เป็นโครงการดาต้าเซ็นเตอร์งถึงกว่า 20 ราย ซึ่ง 3 การไฟฟ้าห่วงเรื่องความเสี่ยงหากเกิดปัญหาเหตุการณ์ไม่คาดคิด หรืออุบัติเหตุใดๆ ต่อระบบในอีอีซีก็อาจจะกระทบต่อการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงถึงแผนพลังงานชาติในอนาคตที่วางแผนจะใช้พลังงานทดแทนถึง 50% ในส่วนนี้จะต้องวางแผนให้ดีเพราะมีตัวอย่างในสเปนที่ใช้พลังงานทดแทน 60% ที่ไฟดับทั้งประเทศเมื่อปลายเดือน เม.ย.68 ทุกภาคส่วนกระทบหนัก โดยไทยต้องนำมาเป็นกรณีศึกษาและวางมาตรการป้องกันเป็นอย่างดีไม่ให้เกิดในไทย. -511-สำนักข่าวไทย