กรุงเทพฯ 22 พ.ค.- อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังวิกฤต สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จ่อปรับเป้าทั้งปี หลังยอดผลิตลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมษายนผลิตรถยนต์ 104,250 คัน ต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ขณะที่ยอดผลิต-ยอดขายรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากงานมอเตอร์โชว์ และการประเดิมส่งออก BEV เดือนแรก 600 คัน ลุ้นการเจรจาภาษีสหรัฐฯ
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือนเมษายน ผลิตรถยนต์ทั้งสิ้น 104,250 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ร้อยละ 19.75 และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.40 เป็นการผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน อย่างไรก็ดีจากตัวเลขสถิติพบว่าผลิตลดลงไม่มาก เพราะมีการผลิตรถยนต์ ไฟฟ้าทั้ง BEV PHEV และ HEV ในประเทศมากขึ้นเพิ่มขึ้น โดย BEV ผลิต 4,764 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 639.75 PHEV 1,031 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 319.11 และ HEV 18,581 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.31 โดยเดือนเมษายน ไทยส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เป็นเดือนแรกจำนวน 660 คัน
ขณะที่รถยนต์นั่งสันดาปภายในผลิตลดลงร้อยละ 33.60 เพราะผลิตรถยนต์นั่งส่งออกลดลงถึงร้อยละ 36.93 เนื่องจากมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงร้อยละ 3.06 เพราะผลิตขายในประเทศลดลงร้อยละ 33.16 ตามยอดขายรถกระบะในประเทศที่ยังคงลดลงร้อยละ 22.25 ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม – เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 456,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม – เมษายน 2567 ร้อยละ 11.96
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ 47,193 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ร้อยละ 15.42 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2567 ร้อยละ 0.97 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายรถยนต์นั่งไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่รถกระบะและรถ PPV ยังคงขายลดลง จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอเพราะดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงจากอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงลดลงร้อยละ 3.83 การลงทุนภาคเอกชนไตรมาสหนึ่งปีนี้ลดลง และจากค่าครองชีพที่ยังสูง ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง
“ยอดปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ เพิ่มมาที่ 50% ส่วนใหญ่ยังเป็นรถกระบะ แม้ว่าจีดีพี ไตรมาส 1 ปี 2568 จะโตถึง 3.1% แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากหลายปัจจัย ส่งผลให้ขาดกำลังซื้อ ประชาชนระวังการจับจ่ายใช้สอย หากกระตุ้นภาคการผลิตให้บวกขึ้นมาได้ กำลังซื้อของคนก็จะเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในประเทศก็จะเป็นขาขึ้น อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังวิกฤต ต้องลุ้นว่า ยอดผลิตรถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นได้มากขนาดไหน เพราะส่งผลต่อทั้งซัพพลายเช่น ทั้งแบตเตอรี่และชิ้นส่วนฯ แต่ทั้งนี้รถไฟฟ้าใช้ใช้ชิ้นส่วนฯ นอยกว่ารถสันดาปมาก โดยมองว่าอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจึงจะพ้นวิกฤตนี้ไปได้ ยิ่งจีดีพี ไทยต่ำก็ยิ่งฟื้นตัวลำบาก เพราะมีหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง รวมถึงมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐ หากอัตราภาษียังอยู่ที่ 36% ก็ยิ่งลำบาก ต้องจับตาการเจรจาของทีมเจรจาไทย ว่าจะสามารถเจรจาได้มากน้อยขนาดไหน นอกจากนี้ต้องสุ้นมาตรการ กระบะพี่มีคนค้ำของรัฐบาลว่าจะเพิ่มยอดขายกระบะได้เพียงใด โดยคาดว่ากลางปีนี้จะต้องมีการปรับเป้าผลิต” นายสุรพงษ์ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย