กรุงเทพ 14 พ.ค. – บีโอไอ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และอินฟอร์มา มาร์เก็ต จัดงาน “SUBCON Thailand 2025” เพื่อจัดแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระดับนานาชาติ พร้อมระดมผู้ซื้อกว่า 500 บริษัท จาก 11 ประเทศทั่วโลก จับคู่ธุรกิจผู้ประกอบการไทยกว่า 200 บริษัท ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร และระบบอัตโนมัติ คาดมูลค่าเชื่อมโยงกว่า 20,000 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน “SUBCON Thailand 2025” พร้อมกล่าวว่า งานนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญของอุตสาหกรรมไทย โดยงานซัพคอน ไทยแลนด์ โลกมีพัฒนาการอย่างไร ไทยต้องมีพัฒนาการอย่างนั้น เพื่อให้ไทยไปต่อ ในช่วง 20-25 ปีที่ผ่านมา โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกประเทศมีปัญหาเรื่องการเปลี่ยนผ่าน รูปแบบซัพพลายเชนมีรูปแบบเปลี่ยนไป ทั้งชนิด รูปแบบการผลิต การค้าขายภายใต้กติกาการค้าเสรี ทั้งขีดความสามารถ ต้นทุน พลังงานสะอาด โลกสีเขียว ซึ่งดำเนินการมาโดยตลอด จนมาถึงมาตรการทางภาษีของสหรัฐซึ่งการแก้ปัญหาหากไทยเข้าใจวางแผนรองรับเพื่อให้ วิน วิน โซลูชั่น ไม่ใช่วางแผนส่งออกน้อยลง แต่วางแผนนำเข้าเพื่อส่งออกมากขึ้น ต้องบริหารดีมานด์คุณภาพสินค้า เมื่อเกิดปัญหาการค้าเสรี การเตรียมการผู้ผลิตต้องจัดโครงสร้างใหม่ ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตจะต้องปรับตัวใหม่ โดยขณะนี้ไทยอยู่ในสถานะกลางน้ำ แต่หลังจากนี้ไปจะต้องทำทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ
ในส่วนของอุตสาหกรรมบีซีจี การสนับสนุนการเป็นฮับในไทย เพื่อเป็นส่วนสนับสนุนของอุตสาหกรรม ต้องปรับรูปแบบภาษี สิทธิประโยชน์จะทำอย่างไร ให้ผู้ผลิตไทย เปลี่ยนผ่านจุดนี้ไปได้ อุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกได้เปลี่ยนไป รถยนต์ไฟฟ้าเติบโตในประเทศโดยอุตสาหกรรมที่เป็นซัพพลายเชนต้องปรับตัวเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมดังนั้นการจะเป็นผู้รับจ้างการผลิต จะต้องแอคทีฟมากขึ้น ตนดีใจ ซัพคอนแทรคที่จะเข้ามา มีคนไทยมากกว่า 100 ราย ต่างประเทศ 70 ราย ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจร่วมกัน


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า บีโอไอ ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย และบริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย จัดงานนิทรรศการแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระดับนานาชาติ “SUBCON Thailand 2025” ซึ่งถือเป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นงานใหญ่ประจำปีที่บีโอไอจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 ภายใต้แนวคิด “The Global Sourcing Excellence” เพื่อแสดงศักยภาพและความแข็งแกร่งของ Supply Chain ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย และเชื่อมโยงผู้ผลิตไทยให้เข้าถึงโอกาสในการเชื่อมต่อกับบริษัทระดับโลกในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เครื่องมือแพทย์ และอากาศยาน พร้อมร่วมกันผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางการจัดซื้อและรับช่วงการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน”
การจัดงานในปีนี้ ได้เชิญผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศกว่า 500 บริษัท จาก 11 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย เวียดนาม สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน ลักเซมเบิร์ก และไทย เข้าร่วมกิจกรรมเชื่อมโยงและจับคู่ธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8,000 คู่ คาดว่าจะเกิดมูลค่าการเชื่อมโยงกว่า 20,000 ล้านบาท และจะมีผู้เข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 45,000 คน โดยจะมีการเปิดพื้นที่พิเศษ “xEV Sourcing Zone” ให้กับบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ในระดับ Tier 1 จำนวน 10 บริษัท เพื่อนำเสนอนโยบายจัดซื้อ และจัดแสดงชิ้นส่วนที่ต้องการจัดซื้อภายในประเทศ พร้อมจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Tier 2 และ Tier 3 รวมทั้งพื้นที่แสดงศักยภาพการผลิต เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และยานยนต์ไฟฟ้าของ 2 ค่ายรถยนต์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู และฉางอาน
นอกจากนี้ บีโอไอจัดให้มีการสัมมนาเพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย มากกว่า 20 หัวข้อ และเปิดเวทีสัมมนาพิเศษเรื่องทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ในหัวข้อ “BOI SYMPOSIUM 2025: “Shaping the Future of xEV in Thailand: Opportunities for Innovation and Growth” พร้อมปาฐกถา เรื่อง “นโยบายและทิศทางการส่งเสริมการลงทุน เพื่อขับเคลื่อนไทยสู่ศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต (xEV)” โดยเลขาธิการบีโอไอ และเสวนา “ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน: โอกาสและความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการไทย ปรับตัวอย่างไรให้ตอบโจทย์ตลาดโลก” โดยผู้บริหารระดับสูงจาก 6 ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ เมอร์เซเดส-เบนส์ บีเอ็มดับเบิลยู ฮอนด้า โตโยต้า เอ็มจี และฉางอาน มาร่วมเวทีครั้งนี้ด้วย
“สถานการณ์การค้าโลกที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายฐานการผลิต และการหาผู้ผลิตชิ้นส่วนใหม่ ๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก เพื่อปรับ Supply Chain ให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับปัญหาการกีดกันทางการค้าได้ดียิ่งขึ้น ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่จะต้องเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมระดับโลกเหล่านี้ให้ได้ ผ่านการเร่งสร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อรายใหญ่ รวมถึงการเรียนรู้ความต้องการของผู้ซื้อ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีและมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้เป็นที่ยอมรับและคว้าโอกาสใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว
ทั้งนี้ บีโอไอ ขอเชิญทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมในงาน “SUBCON Thailand 2025” ระหว่างวันที่ 14 – 17 พฤษภาคม 2568 ณ ไบเทค กรุงเทพฯ.- 513-สำนักข่าวไทย