“บีโอไอ” เผยลงทุนไตรมาสแรก 4.3 แสนล้าน อุตฯ ดิจิทัล-อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์ นำโด่ง

กรุงเทพฯ 30 เม.ย. – บีโอไอ เผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนไตรมาสแรก ปี 2568 ทะยานต่อเนื่อง ทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีคำขอรับส่งเสริมกว่า 820 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 431,000 ล้านบาท นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ การลงทุนจากต่างประเทศพุ่งกว่า 260,000 ล้านบาท ฮ่องกง อันดับ 1 ตามด้วยจีน และสิงคโปร์ สะท้อนศักยภาพไทยแข็งแกร่ง ๆ จ่อเสนอบอร์ดปรับมาตรการส่งเสริมให้สอดรับกับสถานการณ์


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าแนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรก มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน ในส่วนของตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 822 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 97 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของประเทศไทย

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ ดิจิทัล 94,735 ล้านบาท (40 โครงการ) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 87,814 ล้านบาท (122 โครงการ) ยานยนต์และชิ้นส่วน 23,499 ล้านบาท (72 โครงการ) การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 17,517 ล้านบาท (102 โครงการ) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 13,942 ล้านบาท (81 โครงการ) เกษตรและแปรรูปอาหาร 12,719 ล้านบาท (61 โครงการ) การท่องเที่ยว 9,261 ล้านบาท (10 โครงการ) และการแพทย์ 8,034 ล้านบาท (25 โครงการ)


สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 618 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 เงินลงทุนรวม 267,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ฮ่องกง 135,159 ล้านบาท จีน 47,308 ล้านบาท สิงคโปร์ 38,075 ล้านบาท ญี่ปุ่น 25,111 ล้านบาท ไต้หวัน 4,756 ล้านบาท เนเธอร์แลนด์ 2,142 ล้านบาท มาเลเซีย 1,919 ล้านบาท ไอร์แลนด์ 1,628 ล้านบาท ฝรั่งเศส 1,531 ล้านบาท นอร์เวย์ 1,418ล้านบาท ตามลำดับ

ในด้านพื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีมูลค่า 246,555 ล้านบาท จาก 444 โครงการ รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 152,525 ล้านบาท ภาคใต้ 17,256 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5,551 ล้านบาท ภาคตะวันตก 3,980 ล้านบาท และภาคเหนือ 2,930 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart และ Sustainable Industry) ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรก ปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 82 โครงการ และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 5,548 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต และการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ในกิจการ


สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในไตรมาสแรกของปี 2568 มีจำนวน 776 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 582,225 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 1.9 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 43 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด เกิดการจ้างงานคนไทยประมาณ 60,000 ตำแหน่ง และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3.9 แสนล้านบาท/ปี ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุดมีจำนวน 660 โครงการ เงินลงทุนรวม 236,778 ล้านบาท

“สถิติการลงทุนในไตรมาสแรกแสดงให้เห็นถึงโมเมนตัมของการลงทุนในประเทศไทยที่ยังมีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่จากนี้ไป นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา การแบ่งขั้วและการกีดกันทางเทคโนโลยีของประเทศมหาอำนาจ จะทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งจากสหรัฐอเมริกา จีน และคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยต้องปรับตัวครั้งใหญ่ให้ได้รับโอกาสสูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในครั้งนี้ ในส่วนของนโยบายส่งเสริมการลงทุน ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือเพิ่มเติมกับฝ่ายต่าง ๆ เพื่อเตรียมเสนอบอร์ดปรับเปลี่ยนมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และสามารถตอบโจทย์ทิศทางใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานที่มีคุณค่าสูง การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี การร่วมทุน การใช้วัตถุดิบในประเทศ การรักษาระดับการแข่งขันให้เหมาะสม รวมทั้งการปกป้องอุตสาหกรรมบางประเภทที่ผู้ประกอบการไทยมีความเปราะบาง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนที่ไม่ได้มีเพียงเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ แต่ยังจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยได้อย่างแท้จริง” นายนฤตม์ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปะทะแล้ว บริเวณปราสาทตาเมือน หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง

สุรินทร์ 24 ก.ค.-ทบ.รายงานเหตุการณ์ปะทะบริเวณพื้นที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิง เมื่อเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.35 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ดูแลพื้นที่ปราสาทตาเมือนรายงานว่า ได้ยินเสียงอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของฝ่ายกัมพูชาบินวนอยู่บริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม แม้ไม่สามารถตรวจพบตัวอากาศยานได้ด้วยสายตา แต่สามารถได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ต่อมาฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่ที่ตั้งบริเวณด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือรวมทั้ง RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกองทัพบกกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ กำลังพลเจ็บ 2 นาย

กทม. 24 ก.ค.-ด่วน! เหตุปะทะทหารไทย-เขมร ลาม 6 พื้นที่ ทบ. เผยทหารกัมพูชา เปิดแนวรบเพิ่มที่ ผามออีแดง เขาพระวิหาร ส่วนทหารไทยงัดปืนใหญ่ตอบโต้ กำลังพลเจ็บ 2 นาย เมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ระบุเพิ่มเติมว่า เวลา 0920 น. กองทัพบกพบการปะทะเพิ่มเติมตลอดแนวพื้นที่ผามออีแดง ปราสาทเขาพระวิหาร พบฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากใช้อาวุธทุกชนิดและ BM21 ส่วนฝ่ายไทยเข้าปะทะตามแผนพร้อมตอบโต้ปืนใหญ่สนาม 09.20 น. เจ้าหน้าที่ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จากอาวุธยิงสนับสนุน ในพื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือน จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับพื้นที่ที่มีการปะทะจำนวน 6 พื้นที่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก เขาพระวิหาร(ห้วยตามาเรีย/ภูมะเขือ) ช่องอ่านม้า ช่องจอม.-313.-สำนักข่าวไทย

ผบ.ทบ.นำคณะลงช่องอานม้า พรุ่งนี้ จ่อใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ

23 ก.ค.- “ผบ.ทบ.” สั่ง ทภ.2-ทภ.1 เตรียมพร้อม “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” รับมือชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมยกคณะลงพื้นที่บัญชาการ วันที่ 23 ก.ค.68 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผข.ทบ.) ได้สั่งการไปยังกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่1 รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา เตรียมใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ แก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาหลัง กำลังพลของกองทัพบกไทยจากชุดลาดตระเวน พัน.ร.14 ประสบเหตุเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี พิกัด VA 950911 ซึ่งเป็นพื้นที่ปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยส่งผลให้ จ่าสิบเอกพิชิตชัย บุญโคราช ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสูญเสียขาขวา และอยู่ระหว่างการส่งตัวรักษาต่อ ณ โรงพยาบาลน้ำยืน โดยให้พร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที เมื่อสั่งการ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.) พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พลโท ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ รองเสธ ทบ. พลโทบุญสินพาดกลาง มทภ.2 […]

“บิ๊กต่าย” อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็น ตร.

ตร. 23 ก.ค. – ผบ.ตร. อยากเคลียร์ใจครอบครัว “น้องเมย” ปมคู่กรณีได้เป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาหลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี อ่านคำพิพากษากรณีที่ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตปริศนา หลังจากถูกธำรงวินัยโดยรุ่นพี่ทหาร 2 นาย ภายในโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ซึ่งหนึ่งในรุ่นพี่ที่เป็นจำเลย ปัจจุบันรับราชการตำรวจในภาคอีสาน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ตนได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่อยากจะสื่อสารในประเด็นที่ 1 ตนอยากพบพ่อและแม่ของน้องเมยเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้พูดคุยให้เข้าใจในการปฏิบัติของตำรวจ ซึ่งเป็นประเด็นที่ 2 กรณีที่คู่กรณีเป็นตำรวจ เราต้องมองย้อนไปในขณะที่เกิดเหตุ มองถอยหลังกลับไป คู่กรณีรายดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะตำรวจ ฉะนั้นแล้วตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 การดำเนินการทางวินัยจะดำเนินได้เฉพาะกับผู้ที่อยู่ในสถานะตำรวจ ซึ่งขณะนั้นคู่กรณีถือว่าอยู่ภายใต้กองบัญชาการกองทัพไทย ส่วนการพิจารณาทางวินัยตำรวจของคู่กรณี ตนได้สั่งให้จเรตำรวจแห่งชาติ นำไปประกอบการพิจารณา เนื่องจากวินัยและอาญาจะสามารถเชื่อมกันได้ในข้อเท็จจริงบางส่วน […]

ข่าวแนะนำ

เข้าสู่วันที่ 2 กัมพูชาเปิดฉากตั้งแต่เช้ามืด ที่ปราสาทตาเมือนธม

สุรินทร์ 25 ก.ค.-เข้าสู่วันที่ 2 เหตุปะทะไทย-กัมพูชา เริ่มเปิดฉากยิงกันตั้งแต่เช้ามืด บริเวณปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้เสียงยังดังต่อเนื่อง ก่อนขยายการสู้รบไปตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอีสานใต้ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่แรกที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อนด้านปราสาทตาเมือนครับ เช้ามืดวันนี้ ราวตี 5 ครึ่ง ก็เริ่มปะทะกันอีก ขณะนี้ก็มีเสียงดังอย่างต่อเนื่อง เส้นทางจากอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เข้าสู่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แม้สายแล้ว ก็มีรถสัญจรไปมาค่อนข้างน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยการสู้รบ โดยอำเภอพนมดงรักเป็นหนึ่งใน 4 อำเภอ ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้ผู้ที่ไม่มีความจำเป็นเข้าพื้นที่ร่วมกับอำเภอกาบเชิง บัวเชดและสังขะ โดยตลอดช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ตามแนวชายแดนได้ยินเสียงการปะทะด้วยกระสุนปืนใหญ่ดังอย่างต่อเนื่อง ผู้นำหมู่บ้านบันทึกสถิติเฉพาะฝั่งไทยตอบโต้เกินกว่า 100 ลูกแล้ว บ้านหนองแรด ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก ที่จรวดหลายลำกล้อง BM 21 ตกเยอะสุด 10 ลูก วานนี้โดยรอบหมู่บ้าน โชคดีไม่ลงบ้านเรือน มีกระจกแตกเล็กน้อยจากแรงอัดลูกจรวดเท่านั้น วันนี้ ยังมีชาวบ้านอยู่นับร้อยคนหลบอยู่ในหลุมหลบภัย จากทั้งหมด […]

สหรัฐเรียกร้องไทย-กัมพูชาหยุดยิงทันที

วอชิงตัน 25 ก.ค. – สหรัฐเรียกร้องไทยและกัมพูชาหยุดยิงทันที หลังความขัดแย้งตามแนวชายแดนทวีความรุนแรง จนเกิดความสูญเสียต่อพลเรือน ส่วนจีนส่งเสริมให้เจรจาสันติภาพ ยันยันวางตัวเป็นกลางในความขัดแย้งระหว่างสองชาติพันธมิตรของจีนในอาเซียน โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐกล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐรู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความรุนแรงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ขยายวงกว้าง และแสดงความเสียใจต่อรายงานความสูญเสียของพลเรือน พร้อมเรียกร้องให้หยุดยิงทันที พร้อมปกป้องชีวิตพลเรือนและแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน แถลงในกรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า ทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็เป็นมิตรประเทศของจีน และเป็นสมาชิกที่สำคัญของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน มิตรภาพอันดีระหว่างเพื่อนบ้านและการจัดการความแตกต่างอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับผลประโยชน์พื้นฐานและผลประโยชน์ระยะยาวของทั้งสองฝ่าย จีนมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบัน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างถูกต้องผ่านการเจรจาและการปรึกษาหารือ จีนจะยังคงส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ กรณีพิพาทชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยจุดยืนที่ยุติธรรมและเที่ยงธรรม เขากล่าวอีกว่า จากมุมมองของผลประโยชน์ร่วมกันและความต้องการของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค จีนยึดมั่นในจุดยืนที่ยุติธรรมและเป็นกลาง และยังคงส่งเสริมการเจรจาสันติภาพในแบบของตนเองต่อไป เพื่อมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการลดระดับและลดความตึงเครียดลง ขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ออกแถลงการณ์ แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายระมัดระวังต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง รักษาช่องทางการสื่อสารให้เปิดกว้าง และพยายามลดความตึงเครียดลงโดยเร็ว แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ ระบุว่า ฟิลิปปินส์ ไม่ได้มีจุดยืนฝักใฝ่ฝ่ายใดในข้อพิพาทนี้ แต่ขอย้ำถึงความสำคัญของการคงไว้ซึ่งการสื่อสารที่เปิดกว้าง และการลดระดับความรุนแรงของสถานการณ์ พร้อมแสดงความหวังว่า ทั้งประเทศไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้โดยสันติ ใช้กฎหมายระหว่างประเทศเป็นกรอบในการเจรจาและยุติข้อพิพาทด้านสถานทูตต่างชาติหลายแห่ง ออกคำเตือนประชาชนของตัวเองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น สถานทูตของสหรัฐในประเทศไทย เตือนพลเมืองของตัวเองที่อาจจะทำงานหรืออาศัยอยู่ในจังหวัดที่ติดกับชายแดน ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ในประเทศไทยอย่างเคร่งครัด ขณะที่เว็บไซต์สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า สำนักงานต่างประเทศ […]

เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวรองรับประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน

ศรีสะเกษ 24 ก.ค. – บรรยากาศคืนแรกที่ศูนย์อพยพฯ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประชาชนต้องละทิ้งบ้านเรือนมาพักอาศัยชั่วคราว จากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา นี่เป็นบรรยากาศค่ำคืนแรกที่ประชาชนในเขต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ต้องออกมาพักอาศัยนอกบ้านเรือน ตั้งแต่เกิดเหตุกัมพูชายิงจรวดเข้าใส่เขตพักอาศัยของพลเรือน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ทำให้ตลอดทั้งวัน อ.กันทรลักษ์ มีการอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 41,000 คน กระจายไปตามจุดต่างๆ โดยจุดนี้เป็นจุดที่น่าจะมีผู้อพยพมากที่สุด เพราะใกล้แนวชายแดนที่อยู่ในระยะปลอดภัยมากที่สุด คือ ประมาณ 40 กิโลเมตร จากแนวชายแดน มีประชาชนเข้ามาพักอาศัย 4,865 คน และยังมีจุดอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกระจายกันไป ผลจากสถานการณ์ตึงเครียดและพลเรือนตกเป็นเป้าของการโจมตี ทำให้หลายคนอยู่ในอาการเครียดและกังวล เจ้าหน้าที่ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้กำลังใจเป็นระยะ รวมทั้งให้บริการยาและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น พร้อมกันนี้ได้ย้ำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้ฝากแจ้งประชาชนที่ยังลังเลไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ว่า ขณะนี้มีชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกหมู่บ้าน จึงขอให้ทุกคนให้ความร่วมมือ และออกมาจากพื้นที่เสี่ยงตามจุดนัดหมาย เพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว. – สำนักข่าวไทย

น้ำท่วมน่านหนักสุดเป็นประวัติการณ์

น่าน 24 ก.ค. – ยังน่าห่วง น้ำท่วมเขตเศรษฐกิจและตัวเมืองน่าน หนักสุดเป็นประวัติการณ์ บางจุดท่วมสูงถึงชั้น 2 ของบ้าน ประชาชนติดอยู่ในบ้านกลางน้ำ ยิ่งค่ำยิ่งลำบาก .-สำนักข่าวไทย