กรุงเทพฯ 22 เม.ย. – ทองไทย-ทองโลก ทำสถิติสูงสุดรายวัน นักลงทุนตุนทองหวั่นสงครามการค้ารุนแรง ทองไทยวันนี้ แตะบาทละ 55,300 บาทแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแบ่งขายทำกำไร
สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองคำไทยวันนี้จนถึงเวลา 10.02 น. ราคาพุ่งตามตลาดโลก ปรับเปลี่ยนรวม 8 ครั้ง ขึ้น 7 ครั้ง ลง 1 ครั้ง รวมแล้ว ขึ้นราคาบาทละ 1,300 บาท ทำสถิติสูงสุดราคาในประเทศ ราคาขายออกทองรูปพรรณ บาทลด 55,300 บาท ราคาขายออกทองแท่ง บาทละ 54,500 บาท บนฐานราคาทองตลาดจร Gold spot นิวไฮที่ 3,475.50 ดอลลาร์สหรัฐต่ออนซ์ ส่วนเงินบาทแข็งค่าที่ 33.14 บาทต่อดลลาร์
ด้านสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทะลุระดับ 3,400 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (21 เม.ย.) และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 96.90 ดอลลาร์ หรือ 2.91% ปิดที่ 3,425.30 ดอลลาร์/ออนซ์ แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยจีนประกาศเตือนประเทศต่าง ๆ ไม่ให้ทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของจีน และหากประเทศใดเลือกแนวทางดังกล่าว จีนก็จะดำเนินมาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาด
สำหรับเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมากจนทำระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เดินหน้าโจมตีเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟด โดยทรัมป์พยายามกดดันให้พาวเวลเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่ว่าจะปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งหากไม่ยอมทำตามคำเรียกร้อง
ด้านซิตี้ รีเสิร์ช (Citi Research) เพิ่มเป้าหมายราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าขึ้นสู่ระดับ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเป้าหมายเดิมที่ระดับ 3,200 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นพราะนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นอกจากนี้ คาดว่าราคาทองจะได้ปัจจัยบวกจากการที่บริษัทประกันของจีนเข้าซื้อทองคำ หลังรัฐบาลจีนที่อนุญาตให้บริษัทประกันภัย 10 แห่งสามารถจัดสรรสินทรัพย์ของบริษัทในสัดส่วนสูงถึง 1% เพื่อนำไปลงทุนในทองคำ
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) วิเคราะห์ราคาเดินหน้าทำ All Time High ใหม่ต่อเนื่อง วันนี้มองว่าถ้าระหว่างวันพักตัวไม่หลุด 3,412ดอลลาร์ ยังดีดได้ โดยมีแนวต้านบริเวณ 3,444-3,448 ดอลลลาร์ แต่ถ้าหลุด 3,412 ดอลลาร์ จะเสียโมเมนตัมในระยะสั้นและต้องระวังว่าการปรับตัวขึ้นรอบล่าสุดจบแล้วซึ่งราคาจะเข้าสู่การพักตัวอีกครั้ง สำหรับกลยุทธ์ แบ่งขายทองคำที่ซื้อไว้หากไม่ผ่าน 3,444-3,448 ดอลลาร์ แต่หากผ่าน 3,448 ดอลลาร์ฯ ได้ถือต่อและขยับ Trailing Stop เพื่อ lock กำไร รับความเสี่ยงได้มากอาจเสี่ยงซื้อหากราคาไม่หลุด 3,406-3,383 ดลลาร์ (ตัดขาดทุนหากหลุด 3,368ดอลลาร์)
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า แม้ในระยะนี้จะมีข่าวการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ กับหลายประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ในระยะสั้นอาจเกิดแรงขายทำกำไรทองคำสลับออกมาบางส่วน ซึ่งมองว่าส่วนหนึ่งมาจากราคาทองคำที่ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างรุนแรง โดยจากต้นปีจนถึงวานนี้ที่ COMEX ทำระดับสูงสุดใหม่ 3,425.30 ดอลลาร์/ออนซ์ จากระดับดังกล่าวราคาทองคำโลกขึ้นมาแล้วถึง ราว 800 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5% ของไทย ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 54,500 บาท/บาททองคำ ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12,100 บาท/บาททองคำ ขณะที่ SPDR กองทุนทองคำขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ในปีนี้ได้ทำการเข้าซื้อสุทธิมาแล้วถึง 79.77 ตัน
นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนทองคำที่สำคัญในปีนี้ คือการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก โดยล่าสุดสภาทองคำโลก (WGC) ได้ประกาศตัวเลขการถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก โดยซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 ติดต่อกันในปี 2567 ด้วยปริมาณการเข้าซื้อทองคำระดับ 1,045 ตัน และถือเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ความต้องการทองคำสูงเกิน 1,000 ตัน สำหรับปี 2568 ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำสุทธิ 24 ตันในช่วง 2 เดือนแรก นำโดยธนาคารกลางโปแลนด์ที่ซื้อทองคำสุทธิรวม 32 ตัน ซึ่งเป็นการซื้อต่อเนื่อง 11 เดือนติดต่อกัน ตามมาด้วยธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งซื้อทองคำเป็นอันดับ 2 โดยซื้อสุทธิเพิ่มขึ้น 10 ตัน ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจีนถือครองทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 340 ตัน ล่าสุดขณะที่ PBOC เผยข้อมูลล่าสุดในเดือน มี.ค.ยังคงถือทองคำสำรองเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงงาน เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.18-33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (09.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทอ่อนค่ากลับมาบางส่วนตามแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ เพื่อปรับโพสิชั่น (หลังเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ) อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทยังน่าจะเป็นไปอย่างจำกัดเนื่องจากยังมีสัญญาณเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตร ขณะที่ Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ยังอ่อนแอท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากสงครามการค้า และประเด็นความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานเฟด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.15-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ราคาทองคำในตลาดโลก ประเด็นของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลายประเทศ และสัญญาณฟันด์โฟลว์ของต่างชาติในตลาดการเงินไทย. -511-สำนักข่าวไทย