กรุงเทพฯ 15 เม.ย.- พ.ร.ก.คุมภัยไซเบอร์-ดิจิทัลแพลตฟอร์ม มีผลบังคับใช้แล้ว 13 เม.ย. ธปท.เตรียมแจงรายละเอียดมือถือ-แบงก์ร่วมรับผิดชอบ ด้าน ก.ล.ต. พร้อมยกระดับปิดกั้นแพลตฟอร์มคริปโตเถื่อน
พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2568 เป็นต้นไปอ่านรายละเอียด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/95408
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. สนับสนุนหลักการของ พ.ร.ก. ดังกล่าว และได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสนอความเห็นและปรับปรุงเนื้อหาใน พ.ร.ก. เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
หนึ่งในประเด็นสำคัญของ พ.ร.ก. นี้ คือ การกำหนดกลไกให้ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงิน ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (telco) ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (social platform) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องยกระดับการดูแลลูกค้า และร่วมชดเชยความเสียหายหากละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด ซึ่งในส่วนของ ธปท. อยู่ระหว่างจัดทำประกาศเพื่อกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนของสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงิน โดยประกาศจะครอบคลุมทั้งการป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการ การจัดการบัญชีม้า และกระบวนการรับแจ้งเหตุที่รวดเร็ว ทั้งนี้ คาดว่าประกาศดังกล่าวจะออกใช้ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้
อย่างไรก็ดี แม้ พ.ร.ก. จะกำหนดให้ผู้ให้บริการอาจมีส่วนต้องรับผิดชอบในความเสียหายของลูกค้า ธปท. ขอให้ประชาชนใช้บริการทางการเงินด้วยความระมัดระวัง รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำในการรักษาความปลอดภัย ไม่กดลิงค์ที่ไม่รู้จัก และตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมอย่างถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า หลังจากกฎหมายทั้งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ) และพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 (พ.ร.ก. อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ) มีผลใช้บังคับแล้วจะทำให้การปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่ได้รับอนุญาต มีกระบวนการที่กระชับ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเจ้าของบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ ก.ล.ต. สนับสนุนให้ผู้ลงทุนใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาต เนื่องจากได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและ ก.ล.ต. มีการติดตามตรวจสอบใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ลงทุนที่ใช้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศต้องระมัดระวัง เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง (scam) รวมถึงความเสี่ยงในการเป็นเส้นทางผ่านเงินของผู้กระทำความผิดที่ต้องการฟอกเงิน
สำนักงาน ก.ล.ต. พร้อมเดินหน้าประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับปิดกั้นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย กระบวนการปิดกั้นทำได้รวดเร็วมากขึ้น
ตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ฉบับแก้ไข กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นการให้บริการแก่บุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักร ที่ต้องได้รับอนุญาตตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ
(1) มีการแสดงผลโดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นภาษาไทย
(2) มีการจดทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้ชื่อโดเมน “th” หรือ “ไทย” หรือชื่ออื่นที่หมายถึงประเทศไทย ราชอาณาจักร หรือราชอาณาจักรไทย หรือใช้ชื่อโดเมนภาษาไทย
(3) มีการกำหนดโดยผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้ผู้ใช้บริการชำระเงินหรือสามารถเลือกชำระเงินเป็นสกุลเงินบาท หรือมีการรับชำระเงินผ่านบัญชีเงินฝากหรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย
(4) มีเงื่อนไขให้ใช้กฎหมายไทยเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่ธุรกรรมซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือกำหนดให้ดำเนินคดีในศาลไทย
(5) มีการจ่ายค่าบริการแก่ผู้ให้บริการสืบค้นแหล่งที่ตั้งของข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการในราชอาณาจักรไทยเข้าถึงบริการของผู้ประกอบธุรกิจเป็นการเฉพาะ
(6) มีการจัดตั้งสำนักงาน หน่วยงาน หรือมีบุคลากรเพื่อให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้ใช้บริการในราชอาณาจักรไทย
(7) มีลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด
พร้อมกันนี้ พ.ร.ก. อาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ กำหนดให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) สามารถดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมในลักษณะข้างต้น ซึ่งถือว่าเป็นการให้บริการแก่บุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ได้
สำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล กฎหมายกำหนดให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล การคัดกรอง และระงับธุรกรรมหรือบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะเดียวกับธนาคารพาณิชย์ รวมถึงอยู่ภายใต้กลไกการคืนเงินแก่ผู้เสียหายซึ่งจะทำให้ผู้เสียหายได้รับเงินคืนรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดรายชื่อบุคคลหรือเลขที่กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล (wallet) ที่เกี่ยวข้องอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (blacklist) และห้ามผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีรายชื่อหรือกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล .-511 -สำนักข่าวไทย