กรุงเทพ 8 เม.ย. – “เซ็นทรัลแล็บไทย” เปิดแล็บต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานภาครัฐจากกัมพูชา ผนึกกำลังด้านมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร รับมือมาตรการขึ้นภาษีสหรัฐ ซึ่งซีอีโอของเซ็นทรัลแล็บ เชื่อไทยสามารถเจรจากับสหรัฐได้เพราะความสัมพันธ์ที่ยาวนานและการเป็นมิตรที่ดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
จากประเด็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทยและกัมพูชาที่โดนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐในอัตราสูงถึง 36 และ 49% ตามลำดับ โดยในภาคของหน่วยงานที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์สินค้าสำหรับการส่งออก ก็ได้ผนึกกำลังทั้งภาครัฐและเอกชนจากทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน ในการสนับสนุนข้อมูลด้านมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารสำหรับการส่งออก เพื่อลดผลกระทบบางส่วนจากมาตรการขึ้นภาษีดังกล่าว
บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เซ็นทรัลแล็บไทย โดย นายชาคริต เทียบเธียรรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการ เป็นประธานในกิจกรรมเปิดบ้านต้อนรับคณะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐจากประเทศกัมพูชา ประกอบด้วยหน่วยงานจากระทรวงและกรมต่างๆ 7 หน่วยงาน ได้แก่
- Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries (MAFF)
- Ministry of Economic and Finance (MEF)
- National Agricultural Laboratory (NAL), Directorate General of Agriculture (GDA), MAFF
- National Animal Health and Production Research Institute (NAHPRI), Directorate General of Animal Health and Production (GDAHP)
- Cambodia Laboratory of Agriculture Products and Foods (CamLAPF), Department of Agro-Industry (DAI)
- Department of Fisheries Postharvest Technology and Quality Control (DFPTQ), Fisheries Administration (FiA)
- UNIDO CAPFish-Capture: Post-harvest Fisheries Development project
โดยตัวแทนจากกัมพูชาได้เดินทางมาศึกษาการบริหารจัดการระบบห้องปฏิบัติการมาตรฐานระดับสากลกับเซ็นทรัลแล็บไทย เพื่อรองรับการตรวจวิเคราะห์สินค้าเกษตรและอาหารสำหรับการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ รวมถึงแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารของทั้งสองประเทศ (ไทย-กัมพูชา) ร่วมกัน เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นของมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าไปยังสหรัฐฯ
นายชาคริต กล่าวถึงการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐที่มีต่อไทย ว่า การขึ้นภาษี อย่างไรก็ต้องมีผล ที่ผ่านมาสหรัฐมักจะใช้เรื่องภาษีและการตรวจมาตรฐานสินค้ามาใช้กับประเทศคู่ค้าซึ่งเซ็นทรัลแล็บไทยเป็นหน่วยงานของรัฐ ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพสินค้าให้กับภาครัฐและประชาชน สินค้าที่จะโดนกำแพงภาษีหนัก คือ สินค้าที่เราได้ดุล เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ซึ่งบราซิล เม็กซิโกและญี่ปุ่น ก็โดนกำแพงภาษีด้วย เนื้อหมู นอกจากเราก็มีญี่ปุ่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ก็ได้รับผลกระทบด้วยเป็นต้น ถ้าเราใช้นโยบายแรงมา เราแรงกลับ จะไม่เป็นผลดี ดังนั้นเราต้องใช้ความได้เปรียบที่ไทยกับสหรัฐ มีสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ไปเจรจา เชื่อว่าการเจรจาจะเป็นผลดีกับไทย เพราะไทย ถือเป็นลูกรักประเทศหนึ่งในย่านนี้ของสหรัฐ ที่สหรัฐมีสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกับสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้และไต้หวัน.-513-สำนักข่าวไทย