26 มี.ค. – กลุ่มอมตะกางแผน ปี 68 ตั้งงบลงทุนในไทยกว่า 7 พันล้านบาท มุ่งขยายพื้นที่และพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับนักลงทุนจีนย้ายฐานนี้สงครามการค้า ตั้งเป้ายอดขายที่ดินเติบโตกว่า 15% ส่วนนิคมอมตะ ซิตี้ หน้าหม้อเขตเศรษฐกิจใหม่ สปป.ลาว ประตูเชื่อมไทย-จีน พร้อมเปิดขายปีนี้ ด้าน “วิกรม” แนะนัฐบาลเพิ่มสิทธิประโยชน์ เอื้อต่างชาติลงทุนในไทย
นางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัทอมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) AMATA ยอมรับว่าปี 2568 เป็นปีที่มีความท้าทายจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศที่เศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวช้าปัญหาค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนรวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศอย่างภาวะเศรษฐกิจโลกความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐทำให้เกิดการย้ายฐานการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงไปยังประเทศที่มีศักยภาพต้นทุนการผลิตที่ต่ำและมีความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานดังนั้นกลุ่มอมตะจึงได้เตรียมความพร้อมในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเตรียมงบลงทุนในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 7000 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่และพัฒนาที่ดินรองรับการลงทุนจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ชลบุรีและระยองซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางด้านการค้าที่สำคัญ
ปัจจุบันกลุ่มอมตะมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งโดยสิ้นปี 2567 มีกระแสเงินสดประมาณ 5000 ล้านบาท และยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนอยู่จำนวนมากกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับปี 2568 ตั้งเป้าขายที่ดินทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น 15% หรือ รวมกว่า 3,500 ไร่ จากปี 2567 ขายได้ 3,019 ไร่ โดยเฉพาะในเวียดนามที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากไทยญี่ปุ่นจีนเกาหลีและยุโรป
นายโอซามู ซูโด รักษาการประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าอมตะให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ดังนั้นแผนการดำเนินงานในปี 2568 จึงได้เตรียมความพร้อมในด้านการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทางด้านใน
โครงสร้างพื้นฐานและการนำนวัตกรรมพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้และกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญได้แก่จีนและญี่ปุ่นรวมถึงกลุ่มประเทศยุโรปโดยเฉพาะจีนที่อย่างมีทิศทางของการย้ายฐานการลงทุนต่อเนื่องโดยเป็นผลมาจากมาตรการการขึ้นภาษีของสหรัฐ โดยกลุ่มอมตะได้รับความสนใจจากนักลงทุนในห้าอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักตามนโยบายของรัฐบาลได้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแผงวรจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) อุตสาหกรรมดิจิทอลดาต้าเซ็นเตอร์และ Cloud Region อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตและอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
นายวรงค์ ตังประพฤทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมตะซิตี้ ลาว จำกัด กล่าวว่าสำหรับพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ใน สปป.ลาว ปัจจุบันมีทั้งหมด 20,000 ไร่เป็นที่ดินพร้อมพัฒนาจำนวน 5600 ไร่โดยนิคมดังกล่าวถือเป็นเขตเศรษฐกิจแห่งใหม่ของสอปอปอลาวที่กลุ่มอมตะได้นำนวัตกรรมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมาพัฒนาและผลักดันให้เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเป็นประตูการค้าสู่ประเทศจีนตอนใต้โดยอาศัยเส้นทางรถไฟความเร็วสูงลาวจีนเนื่องจากอยู่ห่างจากชายแดนจีนเพียง 40 กิโลเมตร
โดยล่าสุดได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนสูงสุดในภูมิภาคและสิทธิการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนโดยได้รับยกเว้นภาษี 30 ปีสำหรับผู้ลงทุนใน 7 ปีแรกที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์พลังงานทดแทน อุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ และอาหารอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร (CEO) บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน มองว่า นิคมฯ อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ นาหม้อ ใน สปป.ลาว จะเป็นอนาคต เพราะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างจีนกับอาเซียน ซึ่งปัจจุบันการค้าจีนกับอาเซียนมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย “มั่นใจว่าในอนาคต อมตะลาวจะใหญ่ที่สุดในอมตะทั้งหมด เพราะที่ดินเป็นของรัฐ มีการเวนคืนที่ดินของนัฐทั้งหมด 6 พันไร่ แถมยังมีเงื่อนไขการลงทุนดีกว่าไทยทั้งหมด ส่วนแรงงาน ลาวสามารถนำแรงงานเข้าจากจีนและอาเซียนได้” นายวิกรม กล่าว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสงครามการค้ารอบใหม่ จะยังเป็นโอกาสของการลงทุนในไทย แต่ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงค์โปร เวียดนาม กลับมีการลงทุนจากต่างชาติ ที่สูงกว่าไทยมาก โดยสิงค์โปรมีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 50% ของอาเซียน เนื่องจากมีนโยบายที่ดี ดึงนักลงทุนได้ ขณะที่ไทยยังไม่มีปัจจัยดึงดูดมากพอที่จะให้ต่างชาติมาลงทุน เช่น ประเทศเกาหลี เข้ามาลงทุนในไทย 400 ราย ขณะที่เวียดนาม มีนักลงทุนจากเกาหลีกว่าหมื่นราย สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต้องการประสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า พร้อมแนะไทยส่งเสริมการลงทุนในโรงงานไฮเทค ไร้มลพิษ และใช้เทคโนโลยีสูง
“หากต้องการให้จีดีพีโต ต้องส่งเสริมการลงทุน เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้นักลงทุน เพื่องดึงการลงทุนให้มากกว่าเวียดนาม สิงค์โปร ถ้าทำได้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตได้มากกว่า 5% ถามว่าทำอย่างไร ก็จะต้องไปดูแบบอย่างจากสิงค์โปร และเวียดนามว่าเขาทำอย่างไร” นายวิกรม กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย