เตรียม​รับมือ​นโยบาย​ “ทรัมป์” กระทบ​เศรษฐกิจ​ไทย​

กรุงเทพฯ​ 21​ มี.ค. – นักเศรษฐศาสตร์​ของ​ซีไอเอ็มบี​ ไทย​ชี้​ ไทยต้องเตรียม​มาตรการ​รับนโยบาย​ขึ้นภาษี​ของ​ “ทรัมป์” ที่จะกระทบต่อภาคการผลิต​และ​ส่งออก​ของ​ไทย​ ย้ำต้องวางตัวเป็นกลางรับแรงกดดันทางการ​เมือง​ระหว่าง​ประเทศ​ที่จะกระทบต่อการเจรจาข้อตกลง​การค้าเสรี คาดเศรษฐกิจปีนี้โตเฉลี่ย 2% กลาง​ๆ​


วารสารการเงินธนาคารจัดสัมมนาหัวข้อเจาะลึกสินทรัพย์ดาวรุ่งรับพร้ำป่วนโลก จากการที่สหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายการค้า “อเมริกามาก่อน” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแรงงานและความมั่นคงของสหรัฐฯ​ ในการ​สัมมนา​มีผู้เชี่ยวชาญ​มาวิเคราะห์​ผลกระทบ​ที่​จะเกิดขึ้น​ต่อเศรษฐกิจ​และ​สินทรัพย์​ต่าง​ๆ​ รวม​ถึง​มาตรการ​รับมือ

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หลังวันที่ 2 เมษายน สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้มาตรการกดดันทางการค้าเพิ่มเติมต่อประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งไทยอยู่ในลำดับที่ 11 โดยต้องจับตาดูว่าสหรัฐจะเลือกใช้มาตรการภาษีนำเข้า 10% หรือ 20% กับสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย และปัจจุบันไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐมากกว่าที่สหรัฐเก็บจากไทย


สำหรับแนวทางในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของไทยเพื่อลดผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ นายอมรเทพ ระบุว่า ไทยต้องรักษาจุดยืนที่เป็นกลาง แม้จะถูกกดดันจากการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี โดยต้องมุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเร่งผลักดันข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศให้สำเร็จ

ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทย นายอมรเทพ คาดว่า ไตรมาสแรกของปี 2568 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตสูงสุดของปีนี้ที่ระดับ 3.1% เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการส่งออกที่ยังอยู่ในระดับดี อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวจากแรงกดดันของนโยบายสหรัฐ โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยราว 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ต้นๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ทั้งปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2% กลาง ๆ

ปัจจัยหลักที่ยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยคือการท่องเที่ยว แต่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการผ่อนปรนด้านวีซ่า และสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติพำนักในไทยนานขึ้น


ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ แม้จะมีงบประมาณ แต่ต้องพิจารณาว่าจะใช้จ่ายอย่างไรให้เกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด ขณะที่การลงทุนภาครัฐที่ดำเนินไปแล้วช่วยกระตุ้นการบริโภค แต่เศรษฐกิจระดับฐานรากยังเติบโตช้า เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ดังนั้น ภาครัฐควรเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น

นายกีรดิต​ หิรัณยศิริ​ รองกรรมการ​ผู้จัดการ​กลุ่ม​บริษัท​ เอ็มทีเอส​ โกลด์ แม่ทองสุกกล่าว​ว่า​ ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกมั่นใจ​ นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำให้สงครามการค้า ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงสงครามระหว่าง​รัสเซีย​-ยูเครน​ที่​ยัง​ไม่ยุติ​และสงคราม​ในตะวันออกกลาง​ ทำให้​เกิดความ​ไม่มั่นใจในสถานการณ์​โลก​ นักลงทุน​ต่างๆ​ จึงหันกลับ​มา​ซื้อ​สินทรัพย์​ที่​มีความมั่นคง​ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ราคาทองคำปรับขึ้นแล้ว 15% จากการประเมินเชื่อว่า ประมาณกลางปีนี้จะได้เห็นราคาแตะ 50,000 บาทต่อ 1 บาทต่อ ​1 บาททองคำ​ จากวันนี้​อยู่​ที่​ 48,500 บาท ซึ่ง​เป็น​ราคา​ประวัติ​ศาตร์​แล้ว​

นโยบาย​การขึ้นภาษี​ของ​ทรัมป์​ก็​เป็น​อีก​แรงส่งที่ทำให้​หลาย​ประเทศ​ซื้อทองคำ​กลับ​ สหรัฐอเมริกา​ปรับลดอัตราดอกเบี้ย​ลงอีก​ ทำให้​เศรษฐกิจ​สหรัฐ​อ่อน​แอ มั่นใจ​ว่า​ ทรัม​ป์จะ​ต้อง​ดำเนิน​นโยบาย​ที่ส่งผล​ให้​ราคาทองคำ​ปรับ​เพิ่มขึ้น​ อีกทั้งทรัมป์ ยังมีมาตรการสำรอง​ทองไว้ในประเทศเพื่อ​สร้าง​อำนาจ​ต่อรองในสงคราม​การค้าอีกด้วย

สำหรับ​ผู้​ที่​เพิ่ง​ซื้อ​ทองช่วง​ต้นปี​นี้​ แนะนำ​ว่า​ ถ้าราคาทองคำปรับขึ้นไปถึง 50,000 บาท ควรจะขายออกเพราะต้นทุน​ซื้อสูง​ อยู่​ที่​ 47,000 -​ 48,000 บาท หากมีปัจจัย​ที่​ทำให้​ราคา​ปรับลด จะมี​โอกาส​ร่วงเกิน​ 10% จะขาดทุน​ได้​ แต่ถ้าถือมาตั้งแต่ช่วงโควิด ซึ่ง ราคาอยู่ที่ประมาณ 21, 000 กว่าบาท​ สามารถ​ถือเพื่อ​เก็งกำไร​ต่อได้​ โดยต้องติดตามข่าวสารและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ หากค่าเงินบาทอ่อนลงอีกจะทำให้เงินลงทุนไหลออก จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับสูงขึ้นได้อีก ดังนั้น ประโยคที่ว่า ทองคำ 50,000 บาท แค่ปากซอย จึงอาจจะน้อยไป เพราะตอนนี้จ่ออยู่หน้าบ้านแล้ว. -512-สำนักข่าว​ไทย​

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“มาริษ” เมินกัมพูชาร้องยูเอ็น เย้ยไม่มีการถกเรื่องนี้

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 13 ส.ค.- “มาริษ” เมินกัมพูชาร้องยูเอ็นอ้างไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เย้ยไม่มีการถกเรื่องนี้ เชื่อยูเอ็นเข้าใจ เผยคุยมิตรประเทศ บอก พฤติกรรมเขมรวางทุ่นระเบิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เร่งประชุมร่วมรัฐภาคี-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเก็บหลักฐานให้คณะทำงานดูข้อมูลจริงจากพื้นที่ ขอช่วยผลักดันเขมรร่วมวงเก็บกู้ทุ่นระเบิด-ทำตามอนุสัญญาออตตาวา นายมาริษ เสงี่ยมพงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาส่งจดหมายร้องเลขาฯ UN และ UNSC อ้างไทยละเมิดอธิปไตยและข้อตกลงหยุดยิงว่า เป็นการกล่าวอ้าง ซึ่งตนยังไม่เห็นหลักฐานที่ชัดเจน ของกัมพูชาว่าเราละเมิดตรงไหน ในขณะที่ทางกัมพูชาเองใช้วิธีที่ไม่จริงใจต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหา ตามกรอบข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ทำร่วมกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการยั่วยุด้วยสงครามข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้ โอกาสในการมาฝังลูกระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยมีหลักฐานที่ชัดเจน ที่ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามความตกลงหยุดยิงระหว่างกัน อย่างไรก็ตามการที่กัมพูชาส่งหนังสือไปถึงยูเอ็น ทางฝ่ายยูเอ็นก็ไม่ได้มีการเปิดประชุมเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน ไทยก็ได้มีหนังสือชี้แจง เลขาธิการสหประชาชาติไปในทุกโอกาส และทุกกรณีที่มีการขัดแย้งเกิดขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวด้วยว่า ในเรื่องของอนุสัญญาออตตาวา ทางกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือผลักดันในเรื่องนี้ไปถึง ทูต ญี่ปุ่น ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และเจนีวา ในฐานะที่เป็นประธานของรัฐภาคีอนุสัญญาออตาวา 3 ฉบับและอีกหนึ่งฉบับก็กำลังจะส่งตามไป เพื่อกดดันหรือผลักดันให้รัฐภาคี ดำเนินตามมาตรการ อนุสัญญาออตตาวาโดยเร็ว ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบขอข้อมูลหลักฐาน ที่ชัดเจนซึ่งตรงนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพได้ร่วมมือกันอย่างดี และสนับสนุน […]

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณอีสาน-ตะวันออก-ใต้ฝั่งตะวันตก

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะบริเวณ จ.จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาว เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาว และประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง […]

“ภูมิธรรม” นำจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” และภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 เวลา 20.05 น. ณ เวทีใหญ่ ท้องสนามหลวง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางอภิญญา เวชยชัย ภริยา เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะและพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกาและคู่สมรส ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญพร้อมคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และภาคประชาชน เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง เมื่อรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และภริยา ถึงบริเวณพิธีท้องสนามหลวง ขึ้นสู่เวที รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา (ผู้แทนประธานรัฐสภา) ประธานศาลฎีกา […]

จากแม่ถึงลูกทหารบาดเจ็บ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

ขอนแก่น 12 ส.ค. – ครอบครัวตระกูลบุญธรรมในอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่ลูกชายทหารเกณฑ์บาดเจ็บจากเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แม้สื่อสารกันน้อย แต่ความรักของแม่ลูก ไม่ได้ลดน้อยลง และพร้อมสนับสนุนลูกชายสู่เส้นทางทหารอาชีพตามความตั้งใจ หลังไปเป็นรั้วของชาติ แล้วเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น.-สำนักข่าวไทย