กรุงเทพฯ 21 มี.ค. – นักเศรษฐศาสตร์ของซีไอเอ็มบี ไทยชี้ ไทยต้องเตรียมมาตรการรับนโยบายขึ้นภาษีของ “ทรัมป์” ที่จะกระทบต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทย ย้ำต้องวางตัวเป็นกลางรับแรงกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศที่จะกระทบต่อการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี คาดเศรษฐกิจปีนี้โตเฉลี่ย 2% กลางๆ
วารสารการเงินธนาคารจัดสัมมนาหัวข้อเจาะลึกสินทรัพย์ดาวรุ่งรับพร้ำป่วนโลก จากการที่สหรัฐอเมริกา ประกาศนโยบายการค้า “อเมริกามาก่อน” เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแรงงานและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในการสัมมนามีผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงมาตรการรับมือ
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า หลังวันที่ 2 เมษายน สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้มาตรการกดดันทางการค้าเพิ่มเติมต่อประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งไทยอยู่ในลำดับที่ 11 โดยต้องจับตาดูว่าสหรัฐจะเลือกใช้มาตรการภาษีนำเข้า 10% หรือ 20% กับสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย และปัจจุบันไทยเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐมากกว่าที่สหรัฐเก็บจากไทย
สำหรับแนวทางในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของไทยเพื่อลดผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ นายอมรเทพ ระบุว่า ไทยต้องรักษาจุดยืนที่เป็นกลาง แม้จะถูกกดดันจากการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี โดยต้องมุ่งเน้นการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเร่งผลักดันข้อตกลงทางการค้ากับหลายประเทศให้สำเร็จ
ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจไทย นายอมรเทพ คาดว่า ไตรมาสแรกของปี 2568 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตสูงสุดของปีนี้ที่ระดับ 3.1% เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการส่งออกที่ยังอยู่ในระดับดี อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวจากแรงกดดันของนโยบายสหรัฐ โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยราว 3% ในช่วงครึ่งปีแรก และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ต้นๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ทั้งปีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2% กลาง ๆ
ปัจจัยหลักที่ยังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยคือการท่องเที่ยว แต่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนอาจลดลงเหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการผ่อนปรนด้านวีซ่า และสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติพำนักในไทยนานขึ้น
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ แม้จะมีงบประมาณ แต่ต้องพิจารณาว่าจะใช้จ่ายอย่างไรให้เกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด ขณะที่การลงทุนภาครัฐที่ดำเนินไปแล้วช่วยกระตุ้นการบริโภค แต่เศรษฐกิจระดับฐานรากยังเติบโตช้า เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ดังนั้น ภาครัฐควรเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น
นายกีรดิต หิรัณยศิริ รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุกกล่าวว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกมั่นใจ นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ทำให้สงครามการค้า ปะทุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่ยุติและสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์โลก นักลงทุนต่างๆ จึงหันกลับมาซื้อสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ราคาทองคำปรับขึ้นแล้ว 15% จากการประเมินเชื่อว่า ประมาณกลางปีนี้จะได้เห็นราคาแตะ 50,000 บาทต่อ 1 บาทต่อ 1 บาททองคำ จากวันนี้อยู่ที่ 48,500 บาท ซึ่งเป็นราคาประวัติศาตร์แล้ว
นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์ก็เป็นอีกแรงส่งที่ทำให้หลายประเทศซื้อทองคำกลับ สหรัฐอเมริกาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ มั่นใจว่า ทรัมป์จะต้องดำเนินนโยบายที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้งทรัมป์ ยังมีมาตรการสำรองทองไว้ในประเทศเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในสงครามการค้าอีกด้วย
สำหรับผู้ที่เพิ่งซื้อทองช่วงต้นปีนี้ แนะนำว่า ถ้าราคาทองคำปรับขึ้นไปถึง 50,000 บาท ควรจะขายออกเพราะต้นทุนซื้อสูง อยู่ที่ 47,000 - 48,000 บาท หากมีปัจจัยที่ทำให้ราคาปรับลด จะมีโอกาสร่วงเกิน 10% จะขาดทุนได้ แต่ถ้าถือมาตั้งแต่ช่วงโควิด ซึ่ง ราคาอยู่ที่ประมาณ 21, 000 กว่าบาท สามารถถือเพื่อเก็งกำไรต่อได้ โดยต้องติดตามข่าวสารและสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ หากค่าเงินบาทอ่อนลงอีกจะทำให้เงินลงทุนไหลออก จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับสูงขึ้นได้อีก ดังนั้น ประโยคที่ว่า ทองคำ 50,000 บาท แค่ปากซอย จึงอาจจะน้อยไป เพราะตอนนี้จ่ออยู่หน้าบ้านแล้ว. -512-สำนักข่าวไทย