กรุงเทพฯ 21 มี.ค. – สทนช.จัดงานวันน้ำโลก ปี 2568 สอดรับประเด็น UN เรื่องการอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง แหล่งน้ำจืดโลกที่กำลังละลายอย่างรวดเร็ว เลขา สทนช.เผย เม.ย.-พ.ค.นี้ จะมีปริมาณฝนมากกว่าปกติ
นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานวันน้ำโลก ประจำปี พ.ศ.2568 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “น้ำคือชีวิต การอนุรักษ์น้ำและธารน้ำแข็งเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” สอดรับกับประเด็น “Glacier Preservation” หรือ “การอนุรักษ์ธารน้ำแข็ง” ที่องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนด ซึ่งในช่วงพิธีเปิดงานได้ฉายวิดีทัศน์การแถลงสารจากนายกรัฐมนตรี เพื่อประกาศนโยบายและเจตนารมณ์ในการรณรงค์ให้เกิดการอนุรักษ์แหล่งน้ำ ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า และร่วมปรับตัวต่อสถานการณ์น้ำของโลก
นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า องค์การสหประชาชาติ (UN) กำหนดให้วันที่ 22 มีนาคมของทุกปี เป็น “วันน้ำโลก” (World Water Day) เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของน้ำต่อการดำรงชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปีนี้ได้เน้นให้เห็นถึงวิกฤตภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นกับธารน้ำแข็งซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำจืดธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของโลก ซึ่งขณะนี้กำลังละลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของประชากรโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากการละลายของธารน้ำแข็งทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ เช่น กรุงเทพมหานครและพื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทย ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดทั้งภัยแล้งและอุทกภัยที่รุนแรงและถี่ขึ้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทรัพยากรน้ำ การเกษตร และความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนั้น การอนุรักษ์และบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจึงเป็นวาระเร่งด่วนที่มีความสำคัญระดับโลก การจัดงานวันน้ำโลกจึงไม่ใช่แค่กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนตระหนักและร่วมกันลงมือแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อสร้างแนวทางการใช้น้ำอย่างยั่งยืน


“ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเราเผชิญทั้งสภาภาวะน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งในอดีตสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เราเคยเจอปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชน รวมถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในครั้งนั้นเราเคยมีแผนที่จะทำโครงการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบด้วยงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง แต่โครงการดังกล่าวก็ถูกพับไปจนเวลาล่วงเลยมาราวสิบปี ครั้งนี้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งเราก็อยากจะให้การดูแลเรื่องน้ำท่วมน้ำท่วมน้ำแล้งให้เป็นระบบและยั่งยืน ในช่วงที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็มีแนวทางบริหารจัดการน้ำมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงจะนำแนวทางเดิมที่เคยวางเอาไว้มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทและสถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อลดปัญหานี้ให้มากที่สุด นอกจากนี้ก็ยังจะต้องมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและความความร่วมมือละดับสากล เพราะปัญหานี้เกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติเป็นหลัก รัฐบาลเองก็ต้องพยายามทำแผนมารับมือเพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุด” น.ส.จิรพร กล่าว
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ในช่วงปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยต้องประสบกับสภาวะเอลนีโญและลานีญาที่ส่งผลต่อการเกิดภัยแล้งและอุทกภัยอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น เช่น การเกิดภัยแล้งรุนแรงในปี 2557 การตรวจค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยาที่พบสถิติสูงสุดเท่าที่เคยเกิดในปี 2564 จากน้ำทะเลหนุน รวมทั้งในปีนี้ที่ประเทศไทยยังคงประสบกับสภาวะลานีญาและคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายนนี้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านทรัพยากรน้ำต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ สทนช. ได้กำหนดแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี สำหรับเป็นกรอบแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมมาตรการประจำปีเพื่อบรรเทาภัยที่อาจเกิดขึ้นจากบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในฤดูแล้งนี้ สทนช. ร่วมกับทุกภาคส่วนได้ขับเคลื่อน 8 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งดำเนินการตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2568 ล่วงหน้า โดยเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้ขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย – แม่น้ำรวก ลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำโตนเลสาบ ลุ่มน้ำโก – ลก รวมทั้งได้สร้างความร่วมมือด้านน้ำระหว่างประเทศ องค์กรระดับโลกและภูมิภาคที่สำคัญ รวมถึงยังจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านน้ำในระดับภูมิภาคด้วย
“ ยอมรับว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้การคาดการณ์ปริมาณฝนยากมากขึ้น อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์เข้าสู่ความเป็นกลางดังนั้นในช่วงเมษายนจะมีฝนตกมากกว่าค่าปกติส่วนในเดือนพฤษภาคมก็จะมีฝนตกมากกว่าค่าปกติเช่นกัน ดังนั้นหน้าฝนปีนี้อาจจะมี ปริมาณฝนใกล้เคียงหรือมากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่ง สทนช. ได้เตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของเครื่องมือและระบบระบายน้ำตลอดจนกลไกแจ้งเตือน เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น และนอกจากนี้จะมีการเพิ่มภาษาถิ่นเข้าไปในระบบแจ้งเตือนด้วย” เลขาฯ สทนช. -517-สำนักข่าวไทย