กรุงเทพฯ 3 มี.ค. – การเมืองไทย การเมืองโลกกดดันหุ้นไทย มองหุ้นไทย มี.ค. มีโอกาสฟื้นตัวจาก Valuation ต่ำ
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือน มี.ค.นี้ คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวเนื่องจากมูลค่าหุ้น หรือ Valuation ของหุ้นไทยอยู่ในอัตราต่ำ อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (Forward P/E) อยู่ที่ 13 เท่า อัตราผลตอบแทนขึ้นมาที่ 4% มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ในขณะนี้อยู่ที่ 1.15 เท่า เท่ากับช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ซึ่งหุ้นไทยในตลาดซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) มีสัดส่วนเฉลี่ยสูงถึง 62% โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend yield) แตะที่ 4% หุ้นบางตัวขึ้นมาถึง 6.5% ซึ่งปรับขึ้นมาสูงมากพอที่จะชดเชยกับความเสี่ยง และยังดีกว่าผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ที่มีผลตอบแทนเพียง 2% กว่า จึงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาสนใจกับตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในระยะกลางถึงยาว 6-12 เดือนข้างหน้า มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 6-15% มีระดับความเชื่อมั่น 70-74%
อย่างไรก็ตาม เดือนนี้ต้องจับตาการเมืองไทย กระทบต่อตลาดทุน โดยมีทั้งประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคาดจะทำให้การเมืองเดือนนี้ร้อนแรงขึ้นตามสภาพอากาศก่อนจะมีการปิดสมัยประชุมรัฐสภาในต้นเดือน เม.ย. โดย ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ในพรรคร่วมรัฐบาลค่อนข้างกระท่อนกระแท่นจากหลายกรณี เช่น การแข่งขันกันในการเลือกตั้ง อบจ., การตัดไฟเมียนมาเพื่อทลายทุนจีนเทา, การผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร-พนันออนไลน์, การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เห็นต่างและทำให้สภาล่ม, การตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟเขาใหญ่ และคดีการฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. เป็นต้น ถึงแม้ความสัมพันธ์ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาลยังไม่ถึงขั้นแตกหัก ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของนิด้าโพลที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเคลียร์กันได้ แต่มองอย่างน้อยจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งอาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำให้กระบวนการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ของรัฐบาลมีความล่าช้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร

นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงด้านต่ำ ปีนี้อาจโตไม่ถึง 3% เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน โดย GDP ไทยในไตรมาส 4/67 ขยายตัว 3.2% ต่ำกว่าคาดการณ์ เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องและสินค้าคงคลังลดลงแรง ขณะที่การส่งออกและการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยบวก สำหรับ GDP ไทยทั้งปี 67 ขยายตัว 2.5% ดีขึ้นจาก 2.0% ในปี 66 แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 2.7-2.8% มองไปข้างหน้า คาดว่าแนวโน้มของการบริโภคในประเทศจะมีทิศทางชะลอตัวลง โดยปัจจัยหลักที่กดดันได้แก่ อัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ที่ยังอยู่ในระดับสูง ความเข้มงวดของสภาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงธุรกิจในภาคการผลิตที่ยังคงซบเซา ส่วนหนึ่งจากการแข่งขันที่สูงจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวในกรอบ 2.3-3.3% ( ค่ากลางอยู่ที่ 2.8% vs TISCO ESU คาด 3.0%) ด้านเงินเฟ้อประเมินว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 0.5-1.5% (ค่ากลางอยู่ที่ 1% vs TISCO ESU คาด 1.0%) ล่าสุดการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ กนง.เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ระบุว่าเตรียมจะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ลงจากปัจจุบันที่ 2.9% มาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 2.5% เล็กน้อยในการประชุมครั้งหน้าในเดือน เม.ย.
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงมากขึ้นจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งมาตรการนี้จะให้อำนาจประธานาธิบดีในการปรับอัตราภาษีนำเข้าให้เท่ากับอัตราที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสินค้าสหรัฐฯ ทำให้ประเทศในแถบเอเชียจะมีความเสี่ยงสูงกว่าประเทศในแถบยุโรปจากส่วนต่างอัตราภาษีศุลกากรโดยเปรียบเทียบที่ค่อนข้างสูงกว่า สำหรับไทยเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ที่อัตราเฉลี่ยประมาณ 6% เทียบกับสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บภาษีสินค้าจากไทยเฉลี่ยไม่ถึง 1% ขณะเดียวกันไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ในปีที่แล้ว หรือคิดเป็นประเทศลำดับที่ 11 ที่เกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ มากที่สุด จึงมีความเสี่ยงสูงในภูมิภาคเอเชียรองจากอินเดียที่จะถูกมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ต้องติดตามความคืบหน้าการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพราะฉะนั้น ถึงแม้ปัจจุบันทิสโก้ยังคงประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ไว้ที่ 3.0% แต่ความเสี่ยงต่อประมาณการมีแนวโน้มไปทางด้านต่ำจากความไม่แน่นอนของนโยบายสงครามการค้าสหรัฐฯ จึงแนะนำติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในช่วงครึ่งปีแรก

ล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์ระบุจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% ตามกำหนดการเดิมหลังจากที่เลื่อนมา 1 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดในช่วงต้นเดือน มี.ค. พร้อมกับเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป 25% ในเร็ว ๆ นี้ หากมีการขึ้นภาษีจริงอาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าหวนกลับอีกครั้ง
ด้านมุมมองนโยบายการเงินของไทยหลังจากที่ กนง.สร้างเซอร์ไพร์สตลาดด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 2.00% ในช่วงปลายเดือนที่แล้ว แต่คาดว่า กนง.มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.00% ตลอดทั้งปีนี้ อย่างไรก็ดี หากนโยบายสงครามการค้ามีความชัดเจนมากขึ้นว่าจะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทย รวมถึงหากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ สะท้อนว่าภาวะการเงินในประเทศมีความตึงตัวมากขึ้น อาจส่งผลให้ กนง. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้เพิ่มเติมได้จากระดับปัจจุบัน (Data Dependent)
“จากการตรวจสอบภาพรวมงบ Q4 ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าตลาดคาดในสัดส่วน 47% / ตามคาด 23% / ดีกว่าคาด 30% ส่งผลให้ประมาณการกำไรของตลาด (SET EPS) ยังมีแนวโน้มปรับลงอยู่ โดยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET EPS ปี 25F ถูกปรับจาก 96.6 บาท เป็น 96 บาท หรือ -0.9% อยู่ที่ในทิศทางปรับลงต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ระดับ SET Index ที่เหมาะสมจากการประเมินด้วยวิธี Bottom-up Approach ถูกปรับลงต่อเนื่องเช่นกันมาอยู่ที่ 1,510 จุด จากต้นปีนี้ที่อยู่ที่ประมาณ 1,600 จุดต้น ๆ” รายงานของทิสโก้ ระบุ. -511-สำนักข่าวไทย