“อาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม” พลังสำคัญดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเข้าไทย

กรุงเทพฯ 20 ก.พ. – นักท่องเที่ยวคุณภาพสูงกำลังกลายเป็นพลังสำคัญที่เพิ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของภาคการท่องเที่ยว ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งจากรายงานของ Oxford Economics และสมาพันธ์สุราและไวน์นานาชาติแห่งเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับตัวเลือกอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม


โดยรายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Oxford Economics และสมาพันธ์สุราและไวน์นานาชาติแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific International Spirits & Wines Alliance) หรือ APISWA ระบุว่า ตัวเลือกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ระดับพรีเมียมมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และช่วยเพิ่มการใช้จ่ายโดยรวมของนักท่องเที่ยวอีกด้วย

รายงานเรื่อง ‘Capturing High Quality Tourism for Southeast Asia: The Impact of Premium F&B Experiences on Destination Choice’ (การส่งเสริมการท่องเที่ยวคุณภาพสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: อิทธิพลของประสบการณ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มแบบพรีเมียมที่มีต่อการเลือกจุดหมายปลายทาง) มีข้อมูลเชิงลึกดังนี้


  • 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าประสบการณ์ด้าน ตัวเลือกอาหารและเครื่องดื่ม หรือ F&B คือ ปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทาง มากกว่าสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม และการช้อปปิ้ง โดย 75% ของนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้สูงให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้
  • นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเลือกจุดหมายปลายทางที่นำเสนอประสบการณ์ F&B คุณภาพสูง มากกว่าจุดหมายปลายทางที่มีตัวเลือกจำกัดถึง 2.5 เท่า
  • นักท่องเที่ยวพร้อมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 250 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อคนต่อวัน สำหรับ F&B ระดับพรีเมียมที่มาพร้อมบริการที่ดีเยี่ยม โดยแนวโน้มนี้ครอบคลุมนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มรายได้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวตระหนักถึงคุณค่าที่เพิ่มขึ้นจากข้อเสนอแบบพรีเมียมที่มีคุณภาพสูง
  • แนวคิดเรื่อง “ความคุ้มค่า” มีความสำคัญมากสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งกลุ่มรายได้สูงและรายได้น้อยกว่า โดย 78% ของนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงมองว่า “ความคุ้มค่า” เป็นปัจจัยที่ “สำคัญ” หรือ “สำคัญมาก”
  • เมื่อพูดถึงประสบการณ์ F&B ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความปลอดภัย’เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด โดย 84% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า “ความปลอดภัย” เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกจุดหมายปลายทาง

การสำรวจครั้งนี้เป็นการเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพจำนวน 1,800 คน ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั้งหมดมาจากประเทศที่เป็นตลาดสำคัญ 5 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า รัฐบาลของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยว “คุณภาพสูง” เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวให้ยั่งยืน ประเทศต่าง ๆ ต้องการเพิ่มยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว มากกว่าเพิ่มยอดนักท่องเที่ยว สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยตั้งเป้าต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 39 ล้านคนในปีนี้ และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ถึง 3.5 ล้านล้านบาท โดยเน้นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ทั้งนี้ในปี 2567 ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.67 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธนาคารโลกจะคาดการณ์ว่า ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยในปี 2568 จะสูงกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 แต่ก็เตือนว่านักท่องเที่ยวอาจใช้จ่ายน้อยลง โดยคาดว่าการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปจะลดลงประมาณ 20% ทั้งนี้โดยส่วนตัวมองว่าถ้ามีการปลดล็อคการห้ามขายสุราในวันพระใหญ่ได้ ไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เช่น นักท่องเที่ยวมาล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ตรงกับวันพระใหญ่ ไม่สามารถดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ลองคิดดูว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้จะคิดอย่างไร จะมีความประทับใจกับการล่องเรือในครั้งนี้ไหม

นายเรวัตร คงชาติ กรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน กล่าวว่า ความต้องการประสบการณ์พรีเมียมในภาคการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยแนวโน้มนี้มาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวอายุน้อยและมีกำลังซื้อสูง ซึ่งมองหาตัวเลือกที่ผ่านการคัดเลือกแล้วและมีความเป็นมืออาชีพซึ่งทุกวันนี้ ผู้ประกอบการร้านอาหารกลางคืนจะมีรายได้เฉพาะวันศุกร์กับวันเสาร์ ส่วนวันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี แทบจะไม่มีลูกค้า หากวันศุกร์หรือวันเสาร์ เป็นวันพระใหญ่ สัปดาห์นั้นแทบจะไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง


นายเรวัตร อธิบายต่อว่า ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ดีเยี่ยมและเหมาะสมที่จะตอบสนองเทรนด์ความต้องการ F&B ระดับพรีเมียม เพราะเป็นประเทศที่มีอาหารที่หลากหลายและโดดเด่น สามารถรังสรรค์เมนูใหม่ ๆ ที่ผสมผสานจุดเด่นของอาหารท้องถิ่นและอาหารที่มีชื่อเสียงระดับโลกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

นางอัญชลี ภูมิศรีแก้ว จาก APISWA กล่าวเสริมว่า มีโอกาสสำคัญและการต่อยอดทางธุรกิจที่รออยู่มากมายในวงการ F&B ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นและสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับการท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยสิ่งสำคัญ คือ การที่ผู้กำหนดนโยบายด้านการท่องเที่ยวต้องส่งเสริมปัจจัยแวดล้อมที่สนับสนุนต่อการเติบโตของภาคธุรกิจ F&B ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนแนวทางการประกอบการใหม่ ๆและส่งเสริมการเติบโตการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็ต้องสอดรับกับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวด้วย

นายธิปไตร แสละวงศ์ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)กล่าวว่า รัฐบาล ผู้นำอุตสาหกรรม และคณะกรรมการการท่องเที่ยวจำเป็นต้องร่วมมือกันในการดำเนินนโยบายที่ส่งเสริมธุรกิจ F&B ในประเทศไทย สิ่งนี้จะทำให้มั่นใจได้ว่า ภาคธุรกิจ F&B ของประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทั้งนี้ทีดีอาร์ไอ ยังได้เปิดผลวิจัยว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สร้างรายได้ปีละ 5 แสนล้านบาท รัฐได้ภาษีสูง 1.25 แสนล้านบาท แต่ส่งผลต่อต้นทุนสังคมไทย 1.2 แสนล้านบาท กระทบสุขภาพมากสุด 55% คิดเป็นมูลค่าสูงถึงประมาณ 9 หมื่นล้านบาท  ขณะที่ร้านค้าพื้นที่เมืองใหญ่ขายสุราให้เด็กต่ำกว่า 20 ปีราว 30%

นอกจากนี้ Oxford Economics และ APISWA แนะนำว่า เพื่อยกระดับภาคการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรเสริมสร้างความพร้อมในการนำเสนอประสบการณ์ F&B ซึ่งหมายถึง การมีผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ราคาสมเหตุสมผล และเข้าถึงได้ง่ายขณะเดียวกัน ต้องช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงตัวเลือก F&B ที่หลากหลายและบริการที่มีคุณภาพได้สะดวกมากขึ้น เช่น ขยายเวลาเปิดให้บริการของสถานประกอบการ และพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเพื่อการบริการที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว

ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นนโยบายสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา คือ การจำกัดการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 14.00-17.00 น. การปรับปรุงข้อจำกัดนี้สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยจะช่วยให้ธุรกิจภาคบริการสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม จะต้องมีนโยบายและข้อบังคับที่สร้างบรรยากาศทางธุรกิจที่เอื้อต่อการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีราคาเหมาะสมแข่งขันได้ เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ลดภาษีสินค้าประเภทไวน์เช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลฮ่องกงได้ปรับอัตราภาษีสำหรับสุราในบางช่วงราคา เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมสถานบันเทิงยามค่ำคืนและส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม นโยบายเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม F&B ให้เติบโตยิ่งขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม.-513-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]