กรุงเทพ 19 ก.พ. – การส่งออกอาหารไทยปี 2567 ทำรายได้เข้าประเทศสูงถึง 1,638,455 ล้านบาท เติบโต 7.3% ลุ้นปี 68 ขยายตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางความเสี่ยงจากการเปิดศึกภาษีรอบใหม่ระหว่างชาติมหาอำนาจ ตั้งเป้าส่งออกทั้งปี 1.75 ล้านล้านบาท โต 6.8% โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณวัตถุดิบการเกษตรที่เพิ่มขึ้น โดยการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐ ถ้าค่าเงินบาทไทยอ่อนตัวเชื่อว่าเราสู้ประเทศต่างๆได้แน่นอน
คุณศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการข้อมูล พบว่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2567 มีมูลค่า 1,638,445 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 ถือเป็นสถิติส่งออกสูงสุดครั้งใหม่ของสินค้าอาหาร ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารที่เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร หลังจากหลายประเทศเผชิญสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรลดลง แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่คลายตัวลงส่งผลทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น เศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่ฟื้นตัว รวมทั้งค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลทำให้การส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มสินค้าที่การส่งออกเพิ่มขึ้นและมีอัตราขยายตัวสูง ได้แก่ ข้าว (+25.9%), อาหารสัตว์เลี้ยง (+30.5%), ปลาทูน่ากระป๋อง (+15.5%), ซอสและเครื่องปรุงรส (+10.5%), อาหารพร้อมรับประทาน (+30.2%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+29.0%) การส่งออกข้าวของไทยเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการนำเข้าข้าวของประเทศ ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified starch)กุ้งสดแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง และน้ำตาลทราย เป็นต้น

ทั้งนี้การค้าอาหารโลกในปี 2567 ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมีมูลค่าการค้า 1,840 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.6 สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ จีน และเยอรมนี เป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ถึง 5 ของโลก ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยครองอันดับที่ 12 ในการส่งออกอาหารไปยังตลาดโลก อันดับโลกดีขึ้น 2 อันดับจากประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 14 ของโลกในปีก่อน ส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกของไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.53 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.40 ในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ประเทศผู้ส่งออกในภูมิภาคอาเซียนที่โดดด่น คือ เวียดนามที่มีส่วนแบ่งตลาดอาหารโลกเพิ่มขึ้นมากจากร้อยละ 1.85 เป็นร้อยละ 2.34 ในปี 2567 อันดับโลกของเวียดนามเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 17 เป็นอันดับที่ 16 ของโลก ขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคส่วนใหญ่ทั้งอินเดียและมาเลเซียมีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้น มีเพียงอินโดนีเซียที่มีอันดับและส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงตามการส่งออกปาล์มน้ำมัน
คุณศุภวรรณ กล่าวต่อว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่า1,750,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์วัตถุดิบปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนทั้งผลผลิตมันสำปะหลัง อ้อย สับปะรด และมะพร้าว ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่งผลดีช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจัดหาวัตถุดิบได้อย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทผันผวนแต่ยังอยู่ในกรอบที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2568จะเคลื่อนไหวในช่วง 33-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าในครึ่งปีแรกและคาดว่าจะอ่อนค่าในครึ่งปีหลัง ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ มูลค่า 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้ามูลค่า 44,150 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับสหรัฐฯ มูลค่า 128,230 ล้านบาท สัดส่วนราวร้อยละ 10 ของยอดเกินดุลการค้ารวมของไทย รองจากอุตสาหกรรม ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ นอกจากนี้ นโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังเสี่ยงต่อการเปิดศึกภาษีรอบใหม่ระหว่างชาติมหาอำนาจ ที่จะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากสงครามการค้าดังกล่าว โดยเฉพาะมาตรการทางภาษีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะเริ่มนำมาใช้กับประเทศคู่ค้าในหลายๆ ประเทศ เชื่อว่าจะมีการตอบโต้กันไปมา ท้ายที่สุดจะส่งผลต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ต้องรับกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและลดทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภค รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและหลายประเทศในเอเชียให้ซบเซาต่อไป ซึ่งจีนและประเทศที่ถูกผลกระทบต้องหาตลาดใหม่ ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะการแข่งขันรุนแรง เศรษฐกิจและการค้าโลกจึงเสี่ยงต่อการชะลอตัว และส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการค้าอาหารของไทยได้ในที่สุด
นายพจน์ ยังกล่าวย้ำด้วยว่า การขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐ จะกระทบกับการส่งสินค้าเกษตรและอาหารของไทยแน่นอน เพียงแต่ว่าจะกระทบมากหรือกระทบน้อยซึ่งถ้าค่าเงินบาทไม่แข็งตัวมากเกินไป ประมาณ 33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป เชื่อว่าเราสู้ประเทศต่างๆได้แน่นอนเพราะไทยเราส่งสินค้าเกษตรและอาหารไปทั่วโลก ดังนั้นจะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้แข่งขันได้.- สำนักข่าวไทย