เชียงราย 15 ก.พ.- ตลท.เตรียมเสนอคลังยกเว้นเก็บภาษีจากกำไรของ บจ.ที่เข้าโครงการ Jump+ ไม่เก็บภาษีย้อนหลังควบรวมกิจการ M&A ให้แข่งขันได้ทั่วโลก คาด บจ.เข้าโครงการ 50 บริษัท ภายในกลางปีพร้อมรอคลังเคาะสิทธิประโยชน์ทางภาษีถ่ายโอน LTF ไป ThaiESG
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงการเข้าหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่า มีการพูดคุยกันหลายประเด็น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดทุน ซึ่งยอมรับว่าขณะนี้มีความผันผวนสูง
โดยประเด็นที่สำคัญคือการหารือถึงความเป็นไปได้การถ่ายโอนกองทุน LTF ไปยังกองทุน Thai ESG ว่าต้องใช้กลไกใดจึงจะมีประสิทธิผลที่สุด มองทั้งมุมของการสนับสนุน ESG และการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาดทุน ซึ่งขณะนี้ยังมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้คาดว่ากระทรวงการคลังจะเป็นผู้ชี้แจง ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์ลดหย่อนทางภาษีจะได้ทั้งหมดหรือไม่ ต้องให้คลังเป็นผู้พิจารณา ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็คาดหวังว่าอยากจะให้ได้มากที่สุด
อีกประเด็นสำคัญที่มีการหารือคือโครงการ Jump+ ซึ่งเป็นโครงการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ นำเสนอตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อจูงใจให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าให้แก่บริษัทของตนเอง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนเรื่องการสื่อสารแก่นักลงทุน และสนับสนุนการวิเคราะห์ธุรกิจที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง ในการช่วยเหลือสิทธิประโยชน์ด้านภาษี โดยให้ บจ.จัดทำแผนธุรกิจดำเนินธุรกิจระยะสั้น 2-3 ปี นำเสนอแก่นักลงทุน และเสนอให้กำไรที่จะเกิดขึ้นจากแผนธุรกิจดังกล่าวสามารถนำไปลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีได้
รวมถึงยังหารือถึงการควบรวมกิจการ หรือ M&A ระหวังเพื่อให้ บจ.มีความมั่นคงมากขึ้น เพิ่มขึดความสามารถการแข่งขันได้กับทั่วโลก ทั้งในเชิงธุรกิจพื้นฐานและการเงิน ก็จะขอให้ไม่มีการเก็บภาษีย้อนหลัง เนื่องจากปัจจุบันต้องยอมรับว่าหลายบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการทำบัญชีที่ 2 เพื่อเลี่ยงภาษี แต่หากเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลอยู่แล้ว ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านภาษีได้ เป็นแรงจูงใจให้เกิด M&A ส่งผลให้บริษัทเติบโตได้มากขึ้น คาดว่าภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ จะเข้าไปหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอมุมมองด้านภาษี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน Jump+ ยังเป็นโครงการภาคสมัครใจ โดยตลาดหลักทรัพย์ คาดหวังว่าจะมีบริษัทเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 50 บริษัท ภายในกลางปีนี้ และในระยะยาวหวังว่าทุก บจ.จะสามารถเข้ามาใช้แพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการนำ AI มาเป็นเครื่องมือช่วยให้บริษัทสื่อสารกับนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ทันทีและสามารถแปลได้ 16 ภาษา ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างศักยภาพ บจ.ขนาดเล็กได้อึกด้วย
นายอัสสเดช กล่าวยังกล่าวถึง ความคืบหน้าการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเปิดเผยข้อมูล บจ. หลังเกิดกรณีจำนำหุ้นบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งทั้ง ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการหารือด้านกฎหมาย โดยจะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้ ยอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วนักลงทุนควรจะต้องได้รับทราบ
พร้อมเน้นย้ำว่า บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะดำเนินการเพิ่มเติมคือการสื่อสารและเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว ให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงทุนตัดสินใจลงทุน เชื่อว่าในระยะยาวจะสามารถฟื้นตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้กลับมามั่นคงแข็งแรงได้ต่อไป
“ทางภาครัฐมีการประกาศมาตรการสนับสนุนธุรกิจต่างๆเพื่อวางแผนให้จีดีพีของเราโตขึ้น วันนี้มีการพูดถึงเป้าหมายจีดีพีที่จะไปให้ถึง 3.5 ถึง 4.5% ในอนาคตที่ไม่ไกลมาก หากสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เชื่อว่าตลาดทุนจะแข็งแรงแน่นอน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน อยากให้ใจเย็นกันนิดหนึ่ง น่าจะมีโอกาสที่ฟื้นฟู ตลาดทุนของเราให้แข็งแรงได้เหมือนเดิม“ นายอัสสเดช กล่าว.-516.-สำนักข่าวไทย