ขอนแก่น 15 ก.พ.-รมว. เกษตรฯ เผยหารือภาคเอกชน ขอให้รับซื้อผลผลิต “ข้าว คาร์บอนต่ำ” โดยเพิ่มราคาให้ชาวนา 5% เพื่อจูงใจปรับเปลี่ยนมาทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ตอบรับกระแสรักษ์โลกพร้อมส่งเสริมปลูก”กาแฟ-โกโก้-ถั่วเหลือง” เกษตรมูลค่าสูง เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย
น.ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศ.ดร.นฤมล เป็นประธานเปิดงาน “Smart Business Expo 2025” แสดงสินค้าเทคโนโลยี นวัตกรรมดิจิทัล เพื่อธุรกิจ ครั้งที่ 2 ณ ตำบลเมืองแก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นนายจิรุตถ์ อิศรางกูล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) นายวัฒนา ช่างเหลา นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล ประธานหอการค้าจังหวัดขอนแก่นร่วมต้อนรับ
ศ.ดร. นฤมลกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การนำนวัตกรรม AI พัฒนาการเกษตร” โดยระบุว่า ขณะนี้ กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ โดยใช้วิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งทำให้สามารถลดการใช้น้ำในการเพาะปลูกได้กว่า 50% และช่วยลดการปล่อยก๊าซที่จะไปสร้างภาวะเรือนกระจก นอกจากนี้ ยังทำให้ผลผลิตต่อไร่ก็เพิ่มขึ้น และยังช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นควบคู่ไปด้วย
ทั้งนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานงานกับภาคเอกชนที่จะรับซื้อข้าวจากชาวนา โดยได้ขอให้เพิ่มราคารับซื้อข้าวจากชาวนาที่ปลูกข้าวคาร์บอนต่ำสูงขึ้นประมาณ 5% จากราคาปัจจุบัน ซึ่งจะเป็นแรงจงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมการทำนาแบบเปียกสลับแห้งได้มากขึ้น โดยปีนี้เรามีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้านไร่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบาย Green Economy และตอบสนองตลาดสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเป้าหมายใหม่ของโลก
กระทรวงเกษตรภาคภูมิใจการส่งออกสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้รวม 1.8 ล้านล้านบาทในปี 2567 ที่เป็นผลมาจากเกษตรกรไทย โดยลำดับแรกของประเทศที่ไทยส่งสินค้าเกษตรออกไปคือ ประเทศจีน ถัดมาเป็นสหรัฐอเมริกาญี่ปุ่นมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
สำหรับสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าส่งออกมากที่สุดคือ ข้าว รองลงมาคือเนื้อไก่ ทุเรียน มะม่วง ยางพารา
จากข้อมูลเมื่อปี 2566 ประเทศไทยมีจำนวนประชากรทั้งหมด 66.05 ล้าน คน แบ่งเป็นภาคการเกษตร 29.60 ล้านคน ซึ่งจะเห็นว่า เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรประเทศไทยคือ ภาคการเกษตร นอกจากนี้จำนวนแรงงานทั้งประเทศ ยังแบ่งเป็นภาคการเกษตรกว่า 48.75% หมายความว่าแรงงานไทยครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคการเกษตร
ประเทศไทยมีเนื้อที่ทั้งหมด 320.7 ล้านไร่ แบ่งออกเป็นพื้นที่ภาคการเกษตรถึง 147.73 ล้านไร่ คิดเป็น 46.06% ซึ่งในจำนวนนี้มีนาข้าวเยอะมากที่สุด กว่า 64.08 ล้านไร่ รองลงมาคือ สวนผลไม้ยืนต้น
ความท้าทายของภาคเกษตรของไทยคือ แม้ว่าเราจะมีเกษตรกรจำนวนมาก แต่ประชากรภาคเกษตรกรเป็นผู้สูงอายุเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นการจะนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ นั้น ต้องใช้เวลา จึงส่งเสริมให้สร้าง Smart Farmers และ Young Smart Farmers ขึ้นมาเพื่อเป็นต้นแบบและช่วยขยายผลการทำเกษตรรูปแบบใหม่ๆ
สำหรับเป้าหมายในปี 2568 กระทรวงเกษตรฯ จะส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชที่ตลาดมีความต้องการสูง ได้แก่ กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง โดยพบว่า คนไทยนิยมดื่มกาแฟประมาณ 90,000 ตัน ซึ่งทำให้ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศประมาณ 60,000 ต้น เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมไปถึงโกโก้ซึ่งเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารและโปรตีนสูงและได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก ทางกระทรวงจึงส่งเสริมให้เกษตรปลูกพืชเหล่านี้สนองต่อความต้องการของตลาด อีกทั้งจะยกระดับมูลค่าเพิ่ม และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้.-512.-สำนักข่าวไทย