กทม. 30 ม.ค.-“พิชัย” เผยคลังเตรียมออกพันธบัตร ลักษณะคล้าย stablecoin วงเงิน 10,000 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีแผนที่จะให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกพันธบัตร ลักษณะคล้าย stablecoin วงเงิน 10,000 ล้านบาท เนื่องจากเดิมทีรัฐบาลออกพันธบัตรมาจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะไปกองอยู่ในมือของสถาบัน ส่วนที่อยู่ในมือของบุคคลส่วนใหญ่ก็ถูกนำไปเก็บไว้ รัฐบาลจึงมีแนวคิดกระจายไปให้กับคนที่ไม่ได้ลงทุน แต่ต้องการลงทุนในระยะยาวนำไปใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
โดยวิธีการคือจะเริ่มทีละน้อยๆ หรือแบ่งเป็นลอตๆ เพื่อทดสอบระบบก่อน เพื่อให้โอกาสรายทั่วไปได้ลงทุน และอาจจะแบ่งเป็น token ด้วย เช่น 1 บาทต่อหนึ่ง token เป็นต้น ดังนั้นหมายความว่าทุกคนจะมี token ถือเอาไว้ ซึ่งสามารถนำไปลงทุนได้ และเมื่อเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มของเราก็หมายความว่าจะสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่าย โดยจะมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้แทนที่จะเก็บไว้นิ่ง ๆ ในธนาคาร เพื่อกินดอกเบี้ยเท่านั้น
“โดยจะเป็นการออกพันธบัตรใหม่ ด้วยจำนวนกลุ่มคนก็ถือว่าเป็นแซนบ๊อกซ์ เรียกว่าเป็น Tokenize แต่เมื่อได้รับความน่าเชื่อถือขนาดนั้นก็จะคล้าย ๆ กับ stablecoin ซึ่งขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมกับดิจิทัลแพลตฟอร์มเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ภายในปีนี้ เบื้องต้นจะเริ่มที่วงเงิน 10,000 ล้านบาท” นายพิชัย กล่าว
ส่วนความคืบหน้าการออกพระราชกำหนดเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน โดยทำสำนวนเองและส่งอัยการ เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและให้สามารถบังคับใช้กฎหมายว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบถามความเห็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะนำเข้า ครม. ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลให้ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งฟ้องเองได้ โดยไม่ต้องรอตำรวจและอัยการสอบสวนซึ่งต้องใช้เวลานาน ไม่ทันการณ์ พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะช่วยย่นระยะเวลาดำเนินการทางกฎหมายได้ 6-7 เดือน เพราะจะเป็นการทำงานร่วมกันในชั้น ก.ล.ต. ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสียหายได้ และที่สำคัญคือจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา เพราะมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดรวมถึงการดำเนินการที่รวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังเผยว่า อยากเห็น ก.ล.ต.ใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Asset-backed, tokenization ที่มี Asset-backed เพราะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์เดิม หรือสินทรัพย์ดิจิทัลล้วนเป็นนักลงทุนกลุ่มเดียวกัน จึงต้องการให้เชื่อมกันได้โดยไม่มีรอยต่อ และปัจจุบันมีเงินค้างอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก จึงต้องการเห็นบริษัทหลักทรัพย์หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้น เพื่อร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ดีกว่าการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการมีความคล่องตัว. -517-สำนักข่าวไทย