กรุงเทพฯ 9 ม.ค. – SCB FM มองเงินดอลลาร์จะแข็งค่าต่อ-นโยบายการเงินไทยผ่อนคลาย ทำให้เงินบาทยังอ่อนค่าในช่วงครึ่งปีแรก อาจแตะระดับ 35.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่มีโอกาสกลับมาแข็งค่าครึ่งปีหลัง หากมีเงินทุนไหลเข้า มองกรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า Theme ตลาดการเงินโลกในปีนี้น่าจะยังถูกนำโดยสินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจหลักอื่น ขณะที่นโยบายการเงินจะยังค่อนข้างตึงตัวจากการที่ Fed จะลดดอกเบี้ยช้าลง จึงทำให้นักลงทุนจะยังถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เงินยูโรและเงินหยวนจะยังอ่อนค่าต่อในปีนี้ จากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะยังอ่อนแอ และความเสี่ยงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าที่จะยิ่งทำให้การฟื้นตัวช้าลง ทั้งนี้ เงินเยนจะเป็นสกุลเงินหลักที่กลับมาแข็งค่าได้ในช่วงไตรมาสที่สอง หากค่าแรงและเงินเฟ้อญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับสูงตามที่คาด ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กลับมาขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาสที่สองได้ สำหรับเงินบาทนั้น มองว่าในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และนโยบายการเงินไทยที่ผ่อนคลายขึ้น โดยมองว่ามีโอกาสแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีเงินบาทอาจเริ่มกลับมาแข็งค่าได้ในครึ่งปีหลัง หากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะทำให้เงินไหลออกจากสหรัฐฯ ได้ ประกอบกับ Valuation ของเงินดอลลาร์ที่สูงมากแล้ว ทำให้มีโอกาสกลับมาอ่อนค่า
นายแพททริก ปูเลีย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ สินทรัพย์สกุลดอลลาร์สหรัฐน่าจะมีผลตอบแทนเป็นบวกอีกได้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวดีกว่าประเทศหลักอื่น สะท้อนจากเลขเศรษฐกิจ ทั้งตลาดแรงงาน และ PMI ที่ออกมาดีกว่าคาดทำให้ Fed น่าจะลดดอกเบี้ยช้าลง โดยคาดว่าจะลดดอกเบี้ยอีกเพียง 50 bps ในปีนี้ สอดคล้องกับใน Dot plot ล่าสุดของ Fed และที่ตลาด Price-in ซึ่งจะน้อยกว่าในปี 2567 ที่ Fed ลดดอกเบี้ยถึง 100 bps ดัชนีเงินดอลลาร์น่าจะยังแข็งค่าต่อได้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แม้เงินจะแข็งค่าขึ้นมากแล้วในปีก่อน เนื่องจากตลาดอาจยังอยู่ในโหมด Wait-and-see ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์ต่อได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งปีหลัง เงินดอลลาร์สหรัฐอาจกลับมาอ่อนค่าจาก Valuation ที่สูงมากแล้ว และเงินทุนที่อาจไหลออกจากสหรัฐฯ สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ นายแพททริกมองว่า Treasury yields ปรับลดลงอีกเล็กน้อย ตามการลดดอกเบี้ยของ Fed และ Curve มีแนวโน้มชัน (Steepen) ขึ้น จาก Yields ระยะสั้นที่ลดลงมากกว่า ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้จะปรับสูงขึ้นมามากในปีที่แล้ว แต่ยังมองว่ามีโอกาสปรับสูงขึ้นได้อีกเล็กน้อย นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีที่น่าจะได้มีการใช้ AI มากขึ้น (Adoption) และกลุ่มอื่น ๆ ที่จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดูแล (Regulation) ที่มีแนวโน้มเข้มงวดน้อยลง เช่น กลุ่มธุรกิจการเงิน
เงินยูโรและเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในปีนี้ โดยเงินยูโรอาจอ่อนค่าจากเศรษฐกิจยุโรปที่น่าจะยังอ่อนแอจากภาคการผลิตที่หดตัว การแข่งขันจากประเทศจีนที่สูงขึ้น มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่อาจลดลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้ ECB จะยังลดดอกเบี้ยลงแรงได้ โดยนายแพททริกมองว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยอีกต่อเนื่องถึง 125 bps ในปีนี้ ซึ่งอาจทำให้เงินยูโรอาจลงไปใกล้ระดับ 1.00 ยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐ ภายในสิ้นปี สำหรับเงินหยวน จะยังอ่อนค่าลงต่อ แม้ทางการจีนน่าจะออกมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม โดยคาดว่าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Required reserve ratio ลง อีกทั้ง ทางการอาจใช้มาตรการที่เน้นกระตุ้นการบริโภคมากขึ้น โดยได้ตั้งเป้าขาดดุลการคลังสูงขึ้น และคาดว่าจะออกพันธบัตรรัฐบาลกลางและท้องถิ่นเพิ่มเพื่อสนับสนุนโครงการต่างมากขึ้น อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนน่าจะยังอ่อนแอจากความเสี่ยงหลายด้าน อีกทั้ง ทางการจีนอาจตั้งใจปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าขึ้น เพื่อเป็น Cushion ต่อการส่งออกที่มีแนวโน้มแย่ลง จึงมองว่า เงินหยวนมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 7.50 หยวนต่อดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้
เงินเยนอาจเป็นเพียงสกุลหลักเดียวที่มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงไตรมาสสอง จากการขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ หากเงินเฟ้อและค่าแรงญี่ปุ่นยังสูงตามที่คาด นอกจากนี้ มาตรการของ Trump อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นจำกัด เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่กว่า 39 ล้านล้านเยน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ รวมถึงคาดว่าการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ ในระยะสั้นหรือช่วงไตรมาสแรก เงินเยนน่าจะยังอ่อนค่าจากดัชนีเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่าตามนโยบาย Fed ที่จะยังค่อนข้างตึงตัว (Hawkish) และกว่าที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ยได้อาจต้องรอถึงเดือน เม.ย. เพื่อรอดูแนวโน้มการขึ้นค่าแรง(Shunto) ในประเทศ
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี จากดอลลาร์ที่ยังแข็งค่า และนโยบายการเงินไทยที่ผ่อนคลายขึ้น โดยแรงกดดันด้านอ่อนค่าอาจมาจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าตามตีม US Exceptionalism ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งกว่าประเทศหลักอื่น อีกทั้ง เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าจากสกุลเงินอื่น เช่น เงินยูโรและเงินหยวน ทำให้บาทอ่อนค่าตาม สำหรับปัจจัยในประเทศที่จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อได้มาจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตชะลอลงตามการบริโภคและส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอ จึงมองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าไปแตะระดับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี มองว่ามีโอกาสที่เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงครึ่งปีหลัง หากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะทำให้เงินไหลออกจากสหรัฐฯ ได้ ประกอบกับ Valuation ของเงินดอลลาร์ที่สูงมากแล้ว อีกทั้ง มองว่าราคาทองอาจปรับสูงขึ้นได้ต่อ ซึ่งจะช่วยหนุนให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าได้ ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่าเงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าที่กรอบ 33.50-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ.-516-สำนักข่าวไทย