ก.คลัง 9 ม.ค. – สรรพากร จัดเก็บภาษี 3 เดือน 470,000 ล้านบาท คาดทั้งปีจัดเก็บตามเป้าหมาย 2.37 ล้านล้านบาท แนะร้านค้าเพิ่มยอดขาย ร่วมโครงการ Easy E-Receipt ปี 68
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่าผลการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 ยอดรวม 470,000 ล้านบาท นับว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกเดือน 4,000 ล้านบาท มาจากการจัดภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเป็นหลัก เพราะประชาชนมั่นใจการ จับจ่ายใช้สอยมากขึั้น รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้เอกชนหลายสาขาเสียภาษีดีขึ้นตามไปด้วย กรมสรรพากร จึงติดตามยอดเก็บทุกไตรมาสอย่างใกล้ชิด เพื่อทำยอดจัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าหมาย 2.37 ล้านล้านบาท ในงบปี 68
กรมสรรพากรยังเชิญชวนผู้ประกอบการ ร้านค้า สมัครเข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt 2.0 โดยเริ่มโครงการ 16 ม.ค.นี้ เพื่อให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าหรือบริการไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 ได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุด 50,000 บาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในร้านค้าทั่วไป 30,000 บาท ใช้สำหรับซื้อสินค้าหรือบริการ จากผู้ประกอบการจด VAT และ ผู้ประกอบการที่ไม่ได้จด VAT อีกส่วนหนึ่ง กันไว้ใช้ลดหย่อนเพิ่มอีก 20,000 บาท สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) สินค้าหรือบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจชุมชน สินค้าหรือค่าบริการที่จ่ายให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคม หากร่วมโครงการจะได้มียอดขายเพิ่ม
หลังจากมีวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ จดทะเบียน E-Tax invoice หรือ E-Receipt กับกรมสรรพากร หากร่วมโครงการจะเพิ่มยอดขายจากประชาชนมาใช้สิทธิซื้อสินค้าตามโครงการของรัฐบาล และยังมีแรงจูงใจได้สิทธิ์นำค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุบระบบภาษี การใช้ไอที ระบบฮาร์ทแวร์ มาพัฒนาระบบงานในบริษัท หักลดภาษีภาษีได้ถึง 2 เท่า กรมสรรพากร ยังต้องการให้ผู้ประกอบการเข้าระบบ E-Tax เพื่อเชื่อมข้อมูลกับสรรพากรผ่านออนไลน์ร้อยละ 80 ปัจจุบันมีผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน ลงทะเบียน E-Tax invoice หรือ E-Receipt ประมาณ 12,000 ราย โดยเฉพาะกิจการซื้อมาขายไป หรือสินค้า E-Commerce พ่อค้า แม่ค้าขายออนไลน์ผ่านแพลทฟอร์มต่างๆ รวมถึงกลุ่มอินฟลูอินเซอร์ หากมีรายได้ตามเกณฑ์กำหนดอยากให้ยื่นแบบเสียภาษี แม้จะมีเอกสารรายได้ ไม่ครบถ้วน อยากขอให้ช่วยกันยื่นแบบ เพราะสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ เพราะหากไม่ยื่นแบบ เมื่อตรวจสอบพบ ต้องเจอทั้งคดีทั้งเบี้ยปรับ/เงินเพิ่ม 1.5 เท่า ดอกเบี้ยค่าปรับร้อยละ 18 ต่อปี ในช่วงนี้กรมสรรพากร จึงลงพื้นที่ออกให้ความรู้แนะนำการเสียภาษีของผู้ประกอบการทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
นายปิ่นสาย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีผู้ลงทุนถือหน่วยลงทุน LTF ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน หากซื้อครบตามเกณฑ์คือถือครบ 5 ปีปฏิทิน สามารถขายคืนได้ไม่ผิดเงื่อนไข สำหรับผู้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นประจำ ต้องซื้อกองทุน LTF อย่างสม่ำเสมอทุกปี ถือเอาไว้ในระยะยาว เพื่อหวังได้เงินออม ให้เข้าหลักเกณฑ์ผ่อนปรนสำหรับผู้สูงอายุ การจะขายกองทุนหรือถือต่อไป ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจผู้ลงทุน.-515- สำนักข่าวไทย