กรุงเทพฯ 16 ธ.ค. – ลุ้นโค้งสุดท้าย นักลงทุนแห่ซื้อ Thai ESG เพื่อลดหย่อนภาษี ชี้ปัจจัยทั้งในและต่างประเทศเป็นใจ เชื่อผลตอบแทนที่ดีในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายกอบศักดิ์ ภู่ตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เลขานุการบริษัทและกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด กล่าวในงานสัมนาโค้งสุดท้าย ลงทุน Thai ESG เจาะลึกทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุน ว่า กองทุน Thai ESG เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เลือกลงทุนและได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี แต่สิ่งที่คาดหวังที่สุดคือการดึงทุกคนเข้าสู่ตลาดทุน และทำให้ได้ลิ้มรสผลของการลงทุนซึ่งหวังว่าจะไปได้ดี และหลังจากนั้นเขาก็จะได้เรียนรู้เรื่องการลงทุนและนำไปสู่การลงทุนในพอร์ตส่วนตัว
Thai ESG เป็นกองทุนระยะยาว ลงทุนวันนี้เพื่อผลตอบแทนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งส่วนตัวมองว่า ปัจจัยที่ควรลงทุนในกองทุน Thai ESG มีด้วยกัน 4 ปัจจัย ประกอบด้วย
1.โลกจะฟื้น และฟื้นต่อเนื่อง ซึ่งจะมีข่าวดีต่างๆเกิดขึ้น มาหนุนการลงทุน ทำให้สามารถลงทุนด้วยความสบายใจ
2.ภาคท่องเที่ยวกำลังฟื้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนอาจจะน้อยกว่าเป้า แต่ก็มีประเทศอื่นๆเข้ามาแทนแทน เช่นอินเดีย
3.New Wave ของ FDIs ทั้งการลงทุนโรงงานผลิตรถ EV และชิ้นส่วน รวมไปถึง DATA Center ที่เข้ามาแล้วหลายราย และกำลังจะเข้ามาอีกหลายราย
4.การผงาดขึ้นของตลาดเอเชีย และอาเซียน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญมากขึ้น
ที่สำคัญตอนนี้มีข่าวดีว่า เงินเฟ้อเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งก็นำไปสู่แนวคิดลดดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะมีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปี หรืออาจจะเป็นปีกว่าๆ ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจ จะได้รับแรงกระตุ้นจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างทั่วโลกพร้อมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
การลงทุนจากต่างประเทศเป็น New Wave ซึ่ง New Wave ที่เข้ามาในรอบนี้ไม่ได้มาเฉพาะไทย แต่จะเป็นทั้งอาเซียน อาเซียนจะเป็นเป้าหมายซึ่งเมื่อบริษัทแม่เข้ามาแล้ว บริษัทลูกก็จะตามเข้ามา มาทั้งซัพพลายเชน ดังนั้นอีก 5 ปีข้างหน้าอาเซียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งสอดรับ Thai ESG ปีของการลงทุนแม้ว่า ESG จะอยู่ในประเทศ แต่บริษัทไทยก็ไปลงทุนในหลายประเทศในภูมิภาค ดังนั้นเราจึงมีโอกาส และปัจจัยที่กล่าวมานี้จะทำให้สามารถสบายใจได้ที่จะลงทุนในกองทุน Thai ESG
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ปีหน้า ปี 2568 ยังมองว่าเป็นดอกเบี้ยขาลงเป็นปีที่ 2 เชื่อว่าจะยังเป็นคุณต่อประเทศไทยแต่จะบวก/ลบเท่าไหร่ยังยากที่จะบอกใน 1 ปี จึงยังเห็นโอกาสในส่วนนี้อยู่ เช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้ก็ยังจะเป็นคุณอยู่ ส่วนนโยบาย American great again ก็มองว่ายังเป็นคุณต่อหุ้นไทย แม้ว่าระหว่างทางจะมีผันผวนบ้าง อย่างไรก็ดีปัจจัยที่เรายังกังวลก็คือเรื่องสงคราม เชื่อว่าจะเบาลง และการต่อสู้ระหว่างประเทศก็จะหยุดความรุนแรงลง ดังนั้นภาพรวมตลาดตราสารหนี้ และตราสารทุนยังคงไปได้ แต่ยังคงค่อนข้างซีเล็กเทรดนิดหน่อย
ณ วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหุ้น ESG อยู่เกือบ 200 ตัว แต่ active จริงๆ ไม่เคยถึง 200 ตัว ซึ่งหมายความว่า เรามีกรอบการลงทุนโดยใช้ Set ESG เป็นตัวกรองตั้งแต่ต้นทาง เหลือครีมๆประมาณ 30-50 ตัว อย่างไรก็ตามเชื่อว่านักลงทุนในสถาบันจะเป็นตัวช่วยผลักดัน บจ. ให้เข้าสู่ ESG มากขึ้น และ บลจ.เองก็มีกระบวนการเฟ้าหา คัดกรอง หุ้น ESG อย่างเข้มข้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจากนี้ การเติบโตของหุ้น ESG จะรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนเข้าใจ และสนใจกองทุน Thai ESG มากขึ้น ESG อาจจะเป็นเรื่องใหม่ของไทย แต่ในต่างประเทศมีมานานแล้ว อย่างไรก็ตามหวังว่าช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 จะมีเงินก้อนใหญ่เข้ามาจากการซื้อกองทุน Thai ESG
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ Chief Commercial Officer บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) กล่าวว่า นักลงทุนให้ความสนใจกองทุน ESG มากขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Thai ESG เพิ่งเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว สิ้นปี 2566 มีตัวเลขฤดูซื้อกองทุนลดหน่อยภาษีมักจะเป็นช่วงปลายปี ดังนั้นจึงคาดหวังว่า จะมีเงินก้อนใหญ่ซึ่งมากกว่า 10 เดือนเข้ามาอีก จากตัวเลขเมื่อ 30 ตุลาคม 2567 มีจำนวนบัญชี 112,895 บัญชี เข้าซื้อ Thai ESG 40 กองทุน มูลค่า 11,564 ล้านบาท และเชื่อว่าจนถึงวันนี้ตัวเลขก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปอีก โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้าซื้ออีกกว่า 30% หรือน่าจะมีเงินไหลเข้ามาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่า Thai ESG มีแนวโน้มเติบโตได้อีก หลักๆ คือ เพื่อการลดหย่อนภาษี ตัวเลขคล้าย ๆ กับกองทุน RMF LTF SSF ในปีผ่านๆ มา. -517-สำนักข่าวไทย