ตลท.เตือนนักลงทุนระวังซื้อขาย EE หลัง “นอท สลากพลัส” เข้าถือหุ้นใหญ่

กรุงเทพฯ 6 ธ.ค. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนผู้ลงทุนระมัดระวังก่อนตัดสินใจซื้อขายหุ้น EE และขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม หลัง “นอท สลากพลัส” เข้าถือหุ้นใหญ่ พร้อมเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจ Tech สั่งชี้แจงภายใน 11 ธ.ค.นี้


หลังจากที่ บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.67 ระบุนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ (หรือนอท สลากพลัส) ได้ทำการซื้อขายหุ้นของบริษัทผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ บนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,607,000,000 หุ้น คิดเป็น 57.81% ของทุนชำระแล้วของบริษัท ซึ่งส่งผลให้นายพันธ์ธวัช กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท พร้อมแต่งตั้งนายพันธ์ธวัช ให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการใหม่ และอนุมัติการเปลี่ยนชื่อของบริษัทจากเดิม “บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน)” เป็น “บริษัท เทคลีด เอ็นพีเอ็น จำกัด (มหาชน)” นั้น

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งวันนี้ (6 ธ.ค.) ว่า ตามที่ EE ได้แจ้งสารสนเทศสำคัญมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนี้
1.มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ซึ่งเข้ามาถือหุ้น EE ในสัดส่วน 57.81% และมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นละ 0.14 บาท
2.คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุน 2,720 ล้านหุ้น (49.45% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน) ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท เป็นเงิน 517 ล้านบาท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP) 5 ราย ซึ่งเป็นจำนวนที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทบต่อสิทธิออกเสียงของผู้ถือหุ้น (Control Dilution) มากกว่า 25%


โดยมีวัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปใช้ลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% แต่บริษัทยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน และธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน

จากรายการข้างต้นส่งผลให้ EE มีการเปลี่ยนแปลงทั้งธุรกิจและอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงที่แตกต่างจากธุรกิจปัจจุบันของบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจการเกษตร บริษัทคาดว่าจะลงทุนภายในปี 2568 และมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% จึงเป็นข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ EE ชี้แจงข้อมูลกรอบเวลาที่จะศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจ Tech แล้วเสร็จ ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ EE ยังแจ้ง ตลท.เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ว่า บริษัทได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจจากที่บริษัทมีรายได้จากธุรกิจกัญชงและกัญชา แต่เนื่องจากธุรกิจนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ และยังมีวงจรเงินสดที่ช้า จึงมีแนวทางในการขยายการลงทุนในธุรกิจอื่นที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยสามารถสร้างกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอให้บริษัท และสร้างความแข็งแกร่งให้ฐานะการเงินของบริษัท อีกทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และเพิ่มโอกาสให้กับบริษัทในอนาคต ตลอดจนเป็นการเพิ่มศักยภาพและความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถาบันการเงิน


โดยบริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ธุรกิจ Tech) ซึ่งรวมถึง (1) ธุรกิจสื่อ เทคโนโลยี (Technology Media) (2) ธุรกิจให้บริการชำระเงิน (Payment Gateway Solution) และ/หรือ (3) ธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดซื้อขาย (Marketplace Platform) เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจ Tech เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตจากการสร้างรายได้และความสามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ และเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ซึ่งได้แก่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนใช้ชีวิตและใช้เวลากับอุปกรณ์สื่อสารกันมากขึ้น ทำให้สื่อออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลก

โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและผู้ขายหรือภาคธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทจึงมีความสนใจในการเข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดให้บริษัทอย่างสม่ำเสมอ มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่น้อยกว่า 12% และมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต (Potential Upside) จากธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 2,720,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,970,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 7,690,000,000 บาท โดยการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลใน วงจำกัด (Private Placement) จำนวน 2,720,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท หรือคิดเป็น 49.12% ของทุนชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนชำระแล้ว ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.19 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 516,800,000 บาท เพื่อ เสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด 5 ราย

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินทุนที่ได้รับจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามรายการ Private Placement ไปใช้เพื่อลงทุนในธุรกิจ Tech ประมาณ 467-517 ล้านบาท ภายในปี 2568 และใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทไม่เกิน 50 ล้านบาทภาย ในปี 2568. -511-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

เจอตัวแล้ว! ทหารรัวปืน พาญาติช่วยเจรจามอบตัว

สุรินทร์ 15 ส.ค.- เจอตัวแล้ว! ทหารรัวปืนกลางดึก หลบอยู่ในบ้านใกล้ที่เกิดเหตุ ประสานญาติช่วยเจรจามอบตัว เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายปกครองและตำรวจ นำกำลังปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อติดตามตัวพลทหารก่อเหตุรัวยิงปืนกลางดึก ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ผกก.สภ.กาบเชิง ลงพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมตำรวจและทหาร ก่อนเดินทางไปติดตามอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล เบื้องต้นคนเจ็บให้การว่า นั่งดื่มสุรา 5-6 คน ก่อนจะแยกย้ายกันเหลือนั่งอยู่ 2 คน จากนั้นไม่นานพลทหารนายดังกล่าวก็ออกมายืนกราดยิงห่างประมาณ 50 เมตร วัยรุ่น 2 คนจึงรีบหมอบหลบได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ด้านนายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุ ขณะนี้พบตัวทหารผู้ก่อเหตุแล้ว อยู่ระหว่างประสานไปยังครอบครัวให้เดินทางเข้าพื้นที่ช่วยเจรจามอบตัว -สำนักข่าวไทย

อุตุฯ เตือนตะวันออก-ใต้ฝั่งตะวันตก ฝนตกหนักบางแห่ง

กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบน […]

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]