เชียงราย 1 ธ.ค. – คลังสัญจร ดึงแบงก์รัฐ ร่วมฟื้นฟูภาคเหนือ ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยปี 67 “ปรับ ฟื้น คืนสุข เมืองล้านนา”
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
สถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือลูกหนี้ในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ตามกลุ่มเป้าหมายของแต่ละสถาบันการเงิน ทั้งในส่วนของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีทั้งมาตรการพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ย รวมไปถึงมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ตัวอย่างเช่น ธนาคารออมสิน พักชำระหนี้เงินต้น และลดดอกเบี้ยอัตโนมัติให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรายย่อยและ SMEs ธ.ก.ส. ขยายระยะเวลาชำระหนี้ของลูกหนี้เกษตรกร รวมถึงมีระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยปรับ ธอส. ลดเงินงวดและลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ ลูกค้าสินเชื่อบ้าน ธสน. ขยายระยะเวลากู้ สำหรับผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าทั้งที่มีวงเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาว
ธพว. พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงให้วงเงินกู้ฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ ในส่วนของ บสย. ซึ่งค้ำประกันหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ได้ออกมาตรการช่วยเหลือทั้งที่เป็นลูกค้าของ บสย. และลูกหนี้ ของ บสย. นอกจากนี้ ธอท. ได้ออกมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและการยกเว้นค่าชดเชยผิดนัดชำระ และธนาคารกรุงไทย ได้ออกมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบคลุมการลดภาระทางการเงิน ทั้งปรับลดค่างวดการผ่อนชำระ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการให้วงเงินฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องในการดำรงชีพ รวมถึงการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงินของรัฐ ทั้ง 8 แห่งตามที่ได้กล่าวไปแล้ว กระทรวงการคลังยังได้มีมาตรการเสริมสภาพคล่อง สำหรับผู้ประสบอุทกภัย ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย และผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้า แม่ค้า หาบเร่แผงลอย เป็นต้น โดยจัดสรรวงเงินจำนวน 50,000 ล้านบาท จากโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสิน และสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน บสย. ได้จัดทำโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ฟื้นฟู No One Left Behind วงเงินค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวสรุปว่า มาตรการที่กระทรวงการคลังร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง ได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วนในตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้รับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินของรัฐทั้ง 8 แห่ง เป็นจำนวนมากกว่า 740,000 ราย รวมยอดหนี้มากกว่า 94,000 ล้านบาท สำหรับการดำเนินมาตรการด้านการเงินในระยะต่อไปจะเป็นการเน้นการเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องของการฟื้นฟูและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่ประชาชนสามารถกลับมามีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน
กระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการดูแลพี่น้องทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ โดยจะผลักดันนโยบายรัฐบาลต่าง ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สามารถดูแลคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนพร้อมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพและกำหนดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยกระทรวงการคลังจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมมาดูแลพี่น้องประชาชนอย่างทันท่วงทีและเหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป.-515 สำนักข่าวไทย